Wednesday, April 23, 2008

หายนะ ๒

วันจันทร์นกให้เราถามเรื่องคดีคอนโดที่พี่อองวินกำลังฟ้องร้องอยู่ (เพราะพลัสฯ ก็เป็น ๑ ในเจ้าหนี้) เราเลยได้ทีบ่นไปว่า เราไม่มีที่พักที่ Lauceston ให้พี่น้ำพริกอ่องกังวลเล่น และต่อท้ายว่า อย่าลืมส่งรูปทริปจิ่วจ้ายโกวมาให้เราดูบ้าง พอวันนี้พี่น้ำพริกอ่องแวะเอาสำเนาโฉนดที่ดินที่จะฝากขายมาให้เรา เราเลยถือโอกาสขอดูรูปจิ่วจ้ายโกว เปิดมารูปแรกเป็นรูปผู้หญิงยืนยิ้มอยู่ เราถามว่า "Your wife?" คำตอบ คือ "Yes!" ฮือ… อิชั้นแทบอยากขว้างกล้องทิ้ง ถึงจิ่วจ้ายโกวจะสวย อิชั้นก็หมดรมณ์ดูแล้ววววว เฮอะ!

เช้ามา Unlucky In Love พอตกเย็น Unlucky In Game แทน เพราะฝนเทลงมาตอน ๖ โมงเย็น ซักพักนึงก็มีโทรศัพท์มาบอกว่า Showflat น้ำท่วม พอเราเข้าไป ก็แทบเป็นลม เพราะมันเปียก (รั่ว) ไปหมดทุกพื้นที่ ภาพเดียวกับคราวที่แล้วเลย มันเปียกไปทั่ว จนเราไม่รู้จะเริ่มต้นไหนก่อนดี และมันก็รั่วมาจากสาเหตุเดิม คือ น้ำฝนล้น Gutter เข้ามา แต่ที่น่าแค้นใจ คือ เราพึ่งจะให้คนไปกวาดหลังคา ๒ อาทิตย์ก่อนสงกรานต์ แต่ใบไม้ก็ยังไปปิด Floor Drain จนน้ำระบายไม่ทันเหมือนเดิม โฮๆๆ นี่เรามิต้องกวาดหลังคากันทุกอาทิตย์หรือเนี่ย… โฮๆๆ กำลังระดมงานมาถูพื้นอยู่ ก็มีคนมาบอกว่า ต้นไม้หน้าออฟฟิสล้ม เรารีบวิ่งไปดู กลัวต้นไม้ล้มทับรถ เพราะวันนี้มันซวยทั้งวัน แต่โชคดีที่ต้นไม้ล้มเข้ามาหาตัวออฟฟิส (ไม่ได้ล้มออก) กำลังยืนโล่งใจอยู่ หนุ่ยก็มาบอกว่า ต้นไม้ที่ล้ม มันล้มไปโดนห้องกระจก (ที่พวกเราชอบเรียกกันว่าห้อง Green House ของพี่เปิ้ล) กระจกแตกด้วย ตอนแรกเราจะช่วยหนุ่ยเก็บของ แต่พอดีก็มีคนมาบอกอีกว่าห้องทำงานคุณเบนน้ำท่วม เราเลยต้องย้ายไปเก็บของห้องคุณเบนแทน แล้วเลยนึกขึ้นมาได้ว่า แล้วบ้านคุณเบนจะน้ำท่วมไม๊วะ ก็พอดีคุณ ป.ภ. มาพอดี เขาบอกว่า ไม่ท่วม เขาวิ่งไปดูที่แรกเลย เฮ้อ… ค่อยยังชั่ว เราเลยรีบวิ่งไปเก็บของห้องคุณเบน เก็บอยู่ตั้งครึ่ง ชม. ทีมแม่บ้านของโรงแรมถึงมาถึง เราเลยอดค่อนขอดในใจไม่ได้ โห… นี่ขนาดห้องทำงานเจ้าของโรงแรมยังเซอร์วิสแย่ขนาดนี้ Showflat เราอย่าหวังเลยวะว่าเขาจะช่วย พอเห็นว่าทีมงานมืออาชีพมาแล้ว เราก็ย้อนกลับมาช่วยหนุ่ย แต่ภาพที่เห็น คือ ไอ้หนุ่ยนั่งพันแผลอยู่ เพราะเก็บของจนโดนกระจกบาดมือ โห… น่าสงสารจริงๆ

ส่วนในไซท์มีความเสียหายแค่อย่างเดียว คือ ต้นไม้ข้างบ้านล้มลงมาทับรั้วโครงการพัง อ้าว! เรานึกในใจ ฤทธาซวยหล่ะ ก็ First Deductible มันตั้ง ๒ แสนนิ สงสัยงานนี้จะไม่ได้เคลมแน่ๆ เลย เฮ้อ…

Sunday, April 20, 2008

Day X - Back to BKK






พวกเราออกกันแต่เช้า เพราะต้องแวะคืนรถก่อนด้วย แต่ก็ไปถึงสนามบินก่อนเครื่องออก ๒ ชม. กับ ๗ นาที พวกเราเลยรีๆ รอๆ ไม่กล้าเช็คอิน กลัวโดนด่าอีก แต่พอดี จนท. มากวักมือเรียก พวกเราเลยเข้าไปเช็คอิน แต่ไอ้บ้าคนนั้นดันส่งพวกเราต่อให้ จนท. อีกคน และก็เหมือนเดิม มันไม่ให้พวกเราเช็คอินอีกหล่ะ อ้าว แล้วมาเรียกทำไมวะ กำลังงงๆ อยู่ ก็พอดีเหลือเวลา ๒ ชม. พอดี คุณพี่เลยให้เช็คอิน เฮ้อ… ตรงเวลาจริงๆ เลยนะคะคุณพี่

ในสนามบินมีร้าน Duty Free อยู่ ๓ ร้าน เลยซื้อของกันนิดๆ หน่อยๆ ทิ้งทวนกันก่อนขึ้นเครื่องไปเมลเบิร์น และที่สนามบินเมลเบิร์นนี่เอง เราก็ได้ซื้อครีมรกแกะตามที่หมะสั่ง แถมได้ยี่ห้อตามที่บอกซะด้วย แต่ราคามันถูกกว่าที่หมะบอกเรามามาก เราเลยลังเลใจซื้อมาแค่ ๔ กระปุก และได้ไวน์มาให้พี่ณัฐกับริทซี่ เรียกว่าช้อปกันจนหยดสุดท้าย ส่วนปุ๊กอยากซื้อกระเป๋า แต่เราหักห้ามไว้ เพราะเราว่า ถ้าซื้อใบนี้ในราคาเท่านี้ สู้ไปซื้อ Ragazze ดีกว่า แล้วก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกลับ กทม.

๓ ทุ่ม เครื่องก็มาถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ แล้วปุ๊กก็มาส่งเราที่คอนโด เป็นอันจบทริปทัสมาเนียเที่ยวทรหด ๑๐ วันแต่เพียงเท่านี้ เฮ้อ… เที่ยวจนเหนื่อย…

ปล. เนื่องจาก Blogger อนุญาตให้โหลดรูปได้แค่ 5 รูปต่อครั้ง เราเลยรวมภาพขำๆ เก็บตก รวมถึงภาพตามคำขอเอาไว้ในวันนี้แทน ๕๕๕...

Saturday, April 19, 2008

Day IX - Salamangka Market






เช้าวันเสาร์ของโฮบาร์ทจะมีตลาดนัดชื่อ Salamangka Market พวกเราเลยไปที่นี่กันก่อน เป็นตลาดนัดเล็กๆ (เหมือนเทียบกับจตุจักร) เดินพอเพลินๆ แป๊ปเดียวก็หมด เราได้เสื้อยืดให้ ด.ช. ปองคุณ ๒ ตัว และของฝากเล็กๆ น้อยๆ ให้ป้าๆ ตอนเดินๆ อยู่ บังเอิญได้ยินคุณป้าคนนึงถามหาผลิตภัณฑ์ David Jones เรารีบตั้งใจฟัง เพราะถ้าหาครีมรกแกะให้หมะไม่ได้ เรากะจะซื้ออันนี้ให้แทน แต่ฟังที่แม่ค้าโฮบาร์ทตอบแล้ว เราเกือบขำก๊ากออกมา เพราะคุณน้าไม่รู้จัก David Jones อ่ะ โอ๊ย สงสัยว่า อิชั้นได้ซื้อครีมที่ Duty Free ให้หมะแน่ๆ แต่ที่ไม่พลาด คือ เราหย่อนโปสการ์ดให้เก๋ที่ตู้ฯ ในตลาด กะว่ากว่า จนท. จะมาเก็บไป ใบที่ส่งจากเมืองไทยก็ควรจะถึงมือเก๋แล้ว ๕๕๕…
พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ ปุ๊กเปลี่ยนใจไม่ไป Port Arthur แล้ว เพราะกลัวว่าจะขับรถกลับมาเติมน้ำมันไม่ทัน (แหม… มันต้องมีการแพลนนิ่งกันตลอดเวลาเลยนะเนี่ย) เลยเปลี่ยนแผนเป็นการเดินเล่นในเมืองแทน ปุ๊กบ่นอยากซื้อกระเป๋า แต่เดินไปเดินมา ดันไปสนใจรองเท้าแทน เรายุให้ปุ๊กซื้อรองเท้ายี่ห้อกบ เพราะเราว่า มันดีกว่ารองเท้าของ Williams Shoe ตั้งเยอะ แต่ก็ยุไม่ขึ้น เพราะรองเท้ายี่ห้อกบคู่ละ ๒๕๐ เหรียญ ป้าเลยไม่เห่อเหิม!

ป.ล. งานนี้เราเลยได้กิน Starbucks เราถึงรู้ว่าที่นี่เขาเรียก White Coffee ว่า Flat White โห… ป้าทนกินลาเต้นมเยอะโคตรๆ มาหลายวัน จนปุ๊กทนไม่ได้ที่กลิ่นนมมันแรงจัด แล้วหันไปใช้บริการ Expresso แทน ว่าแล้วเราก็ไม่รอช้า ซัดขนาด Tall มันซะเลย 3.30 เหรียญเท่านั้น แพงกว่าเมืองไทยนิดหน่อย แตไม่เป็นไร ป้ารับด้ายยยยยย…

Friday, April 18, 2008

Day VIII - Tahuae Airwalk





โชคดีไม่ได้มีกันบ่อยๆ เราอุตส่าห์ยอมเสียังค์เข้าสวน Tahune (ทัสมาเนียมีอุทยานฯ ๒ ข่าย ข่ายนึงเป็นแนวธรรมชาติ ที่เราซื้อบัตรเข้าแบบเหมาจ่ายไปแล้ว แต่อีกข่ายเป็นแบบมีเครื่องเล่นด้วย เช่น นั่งสไลด์ไปตามรางในรูปแบบต่างๆ คนจะเล่นต้องเสียตังค์ค่าเล่น ถ้าเราไม่เล่น ก็เข้าไปดูคนอื่นเล่น บวกเดินเล่นในสวนได้แบบไม่เสียสตางค์) แล้ว แต่ Swinging Bridge ๒ อัน ดันปิดปรับปรุง เหลือแต่ตัว Airwalk อันเดียวให้เดิน เรากับปุ๊กเม้าท์กันว่า ถ้าแบบนี้เขาน่าจะลดค่าเข้าให้เรานะ แต่ก็ได้แต่เม้าท์ ตัว Airwalk ก็น่าตื่นเต้นดี เพราะเขาทำเป็นสะพานให้เราเดินอยู่เหนือต้นไม้ แล้วเลยได้ชื่นชมรัฐบาลทัสมาเนียว่า เขาดูแลต้นไม้ดีจริงๆ ขนาด "Big Tree" ยังกลายเป็นจุดท่องเที่ยวได้เลย

ต่อจาก Tahuae ก็ไปต่อที่ Hazte Mountain (อันที่คุณป้าไม่ยอมให้เราประทับตรา และที่น่าแค้นใจไปกว่านั้น คือ ที่ทำการอุทยานฯ ไม่มี จนท. เราเลยไม่ได้ประทับตรา Hazte เฮอะ…) เราเลือกรูทที่เดินง่ายสุด คือไป Osborne Lake คราวนี้ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เดินด้วยอีกหล่ะ เดินกันแค่ ๓ คน รู้สึกเงียบเอามากๆ ตอนออกมาเราเจอฝรั่งอีก ๓ คน เดินมาจากที่เลคนึง ปุ๊กเลยขอเขาดูรูป เขาก็หากล้องกันใหญ่ แล้วเลยนึกขึ้นได้ว่าลืมไว้ที่ที่ทำการอุทยานฯ แหม… นี่ถ้าไม่เจอคณะเราชวนคุย เสร็จเลยนะเนี่ย… แล้วเลยรู้ว่าพวกเขามาจากเกาะออสเตรเลียหลัก เราถึงถึงบางอ้อว่า ถึงว่าดิ เราไม่เคยเจอนักท่องเที่ยวพูดภาษาอื่นๆ นอกเหนือไปจากภาษาอังกฤษเลย และสำเนียงก็ไม่อังกฤษหรืออเมริกาด้วย (นั่นดิ ใครจะตะกายนั่งเครื่องบินมาไกลขนาดนี้) อ้อ มีเจอญี่ปุ่นกับคนไทยอย่างละ ๑ คณะที่ Craddle เท่านั้น นักท่องเที่ยวที่เจอๆ ก็คงมาจากเกาะออสเตรเลียหลักนี่เอง

ก่อนกลับบ้านก็แวะ Supermarket ซื้อของกินกัน เราเลยถือโอกาสซื้อของฝากพวก Chocolate กับถั่วแคคาดาเมียด้วย เอ Message มาบอกว่า Chocolate ของ Cadburry ออสเตรเลียอร่อยที่สุดในโลก อร่อยว่า Cadburry ขอบยุโรปอีกตะหาก เราเลยซื้อกันใหญ่ เป็นอันหมดภาระของฝากไปพอจะนอนหงษ์ก็ message มา พอรู้ว่าเราอยู่โฮบาร์ท เลยเชียร์ให้ไปเที่ยว Port Arthur แถมเชียร์ทัวร์บ้านผีสิงด้วย แต่ปุ๊กอยากไปล่องเรือมากกว่า ส่วนเราไม่อยากไปไหนไกลๆ แล้ว เพราะเที่ยวมาหลายวันแล้ว เหนื่อยมาก แต่ที่น่าแปลกใจ คือ เราอยากกลับไปทำงานแล้วล่ะ!

Thursday, April 17, 2008

Day VII - Back to Hobart





ปุ๊กไปเช็คเอาท์แล้วมาบอกว่า คุณลุงผิดหวังผิดหวังที่เราไม่ได้ไปดูเพนกวินกัน แหม… นึกไม่ถึงว่าคุณลุงจะมีการติดตามผลขนาดนี้ ขอโทษนะค๊า… แล้วคราวนี้ก็ล้อหมุนไปอุทยานฯ Frecinet จริงๆ มีหาดสวยๆ หลายอัน น้ำใสเป็นสิมิลัน อากาศก็ไม่หนาวแล้ว แดดเปรี้ยงอีกตะหาก (ผิดกับฝั่ง Craddle Mountain สุดๆ) เราแวะไปดูจุดชมวิวกัน วิวสวยมาก แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ชาวคณะนั่งเครื่องบินเล็กชมวิวกัน ฮ้า… ระหว่างทางไปโฮบาร์ท เราเห็นคนขี่จักรยานอยู่ริมถนน ปุ๊กบอกให้เราถ่ายรูปไปให้พี่ณัฐดู แต่เราไม่ทำ เพราะกลัวพี่ณัฐเห็นรูปแล้วคลั่ง ลางานมาเที่ยว ๒ อาทิตย์ เราคงถึงตาย เลยได้แต่มุขกัน

มาถึงโฮบาร์ทตั้งแต่ ๕ โมง แต่เนื่องจากเราจะเช็คอินเร็ว ๑ วัน เลยตรงดิ่งไปที่ที่พักก่อน แต่ดันหาที่พักไม่เจอทั้งๆ ที่เราไปถูกตามแผนที่เป๊ะ สุดท้ายเลยตกลงว่าจะไล่ตามบ้านเลขที่ เพราะเราอยู่กันถูกถนนแน่นอน แต่ไล่ไปสุดถนนจนถึงไฟแดงที่ผ่านไฮเวย์เส้นนึงก็ยังไม่ถึง แต่ในที่สุด เราก็ไปถึงจนได้ และก็พบว่าแผนที่ผิดไปเป็นกิโล! แต่วิบากกรรมก็ยังไม่หมด เพราะเราไปถึงหลัง ๖ โมง พนักงานเลยกลับบ้านไปแล้ว เพราะมันเป็น Apartment ไม่ใช่โรงแรม เลยไม่มีพนักงานประจำ ๒๔ ชม. ฮ้า… อะไรกันวะ ในเวบก็ไม่เห็นบอก เรากำลังงัดโทรศัพท์ขึ้นมาโทรตามป้ายที่เขาเขียนไว้ ก็มีผู้หญิงคนนึงเดินมาถามว่าให้ช่วยอะไร และในที่สุดโชคดีก็มาถึง (บ้าง) เพราะชีสามารถเปิดห้องให้เราได้ และได้ห้องที่เราจองไว้พรุ่งนี้พอดี เฮ้อ… กว่าจะได้ที่พัก เล่นเอาหมดแรง หาโรงแรม (Apartment) ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน จนตกดินไปเป็น ชม. เหนื่อยจริงๆ เรากะว่ากลับไปเมืองไทยก่อน เราจะเมลล์ไปเม้งไอ้ Hotel Club หนอย… ชาร์จเราไปตั้ง ๒๐ เหรียญต่อคืน แล้วแผนที่ยังผิดอย่างร้ายกาจอีก ไม่สามารถให้อภัยได้จริงๆ นะเนี่ย ฮึ่ม!
แต่ก็ชดเชยด้วยดินเนอร์อร่อยๆ เพราะเย็นนี้กับข้าวอร่อยเอามากๆ เนื่องจากว่าปุ๊กไม่ยอมกินผักหรือไข่เจียวที่ผัดจากเนยแล้ว แทบยังซื้อน้ำปลาขวดใหญ่อีกตะหาก พี่รัตน์เลยได้แสดงฝีมือย่างเต็มที่ เราเลยกินข้าวไป ๒ จาน ฮ้า…

Wednesday, April 16, 2008

Day VI - Freycinet National Park






สถานที่ที่จะไปออกเสียงว่า เฟรซิเน่ แม้ว่ามันจะลงท้ายด้วยตัวที (T) ก็ตามที ซึ่งคุณป้าที่ National Park บอกว่า มันเป็นภาษาฝรั่งเศสน่ะ Frecinet กินอาณาเขตหลายเมือง และเป็นอุทยานฯ แนวทะเล หลังจากที่เราเที่ยวภูเขามาหลายวัน ก็ขอเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง และเพื่อให้พรุ่งนี้สามารถเข้า Hobart ไม่สายมาก เรากับปุ๊กเลยตกลงว่าจะค้างกันที่เมือง Bichino แต่จาก Lauceston มาเมืองนี้ ก็ขับกันหลาย ชม. อยู่ จนเที่ยงก็ยังไม่ถึง เลยหา Lake เพื่อแวะกินข้าว (ทัสมาเนีย Lake เยอะมากกกกก) สุดท้ายก็ได้มาอันนึง ต้องขับแยกออกมาจากถนนสายหลักนิดหน่อย แต่ที่สำคัญ คือ บรรยากาศน่ากลัวมาก ยังกับ Sleepy Hollow ตอนแรกเรากะไม่กินแล้วนะ แต่พอเห็นว่า น่ากลัวขนาดนี้ก็ยังอุตส่าห์มีคนมาตั้งแคมป์อีก มันคงโอเคแหละ เลยแวะกินข้าวเที่ยงกัน
พอถึง Bichino ปุ๊ป ก็แวะ I ก่อนเลย เพราะเรายังไม่มีที่พักกัน คุณป้า I แนะนำให้ไปพักที่ Motel นึง ซึ่งเป็นแนวตู้คอนเทนเนอร์ แต่มีครัว ตอนแรกปุ๊กทำท่าลังเล เพราะรู้สึกว่ามันเหมือนตู้ตามไซท์ก่อสร้าง แต่เราบอกให้ทนเอาหน่อย เพราะแค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็จะได้นอนใน Apartment ใน Hobart ที่เราจองไว้แล้ว ตอนเข้าไปจ่ายเงินที่พัก ปุ๊กสังเกตว่าในโบว์ชัวร์เขามีสถานที่ที่เรียกว่า Blow hole เลยขับไปดูกัน เพราะก็อยู่ใกล้ๆ (เมืองเล็กนิดเดียว กระพริบตา ๒ ที ก็ขับเลยเมืองแล้ว) ปรากฎว่า เป็นสถานที่ที่น่าสนใจมาก มันเป็นที่ๆ น้ำทะเลสาดมาโดนหิน แล้วกระเด็นเป็นฟองใหญ่ๆ ให้คนกี๊บก๊าบกันใหญ่ พวกเราถ่ายรูปกันใหญ่แบบต้องรอจังหวะให้น้ำทะเลฟู่ๆ เป็นก้อนใหญ่ๆ สนุกกันพอแล้ว ก็ไป Water Hole
Water Hole เป็นเหมือนบ่อน้ำผุ น้ำใสมาก แต่แม่ไม่ยอมเดินไปจนถึง เพราะบรรยากาศระหว่างทางดูวังเวงไปหน่อย แถมไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย (ผิดกับทุกที่ๆ เราไป มีนักท่องเที่ยวตลอด ดูอย่างไอ้เลคเมื่อตอนเที่ยงดิ) เลยถ่ายรูปกับแป๊ปนึง ก็กลับ
กลับมาที่พัก ทุกคนเข้าครัวกัน (ดูๆ ไปมันก็โอเคนะ ไม่เลวร้ายเหมือนไซท์ออฟฟิสซะหน่อย) ส่วนเราออกไปถ่ายรูป เพราะขากลับเห็นฟ้าสวยดี และก็ไม่ผิดหวัง มีเมฆหน้าตาเป็นแมนต้าด้วย หุหุหุ… ตอนก่อนออกไปถ่ายรูปเราถามคุณลุงเจ้าของที่พักว่า จะไปดูเพนกวินตอนกี่โมงดี คุณลุงบอกให้ไปตอนทุ่มนึง และห้ามใช้แฟลชถ่ายรูปเพนกวิน เพราะมันไม่มีหนังตา เลยกระพริบตาไม่ได้ และห้ามเอาไฟฉายส่องด้วย เพราะเพนกวินโดนแสงมากๆ ตาอาจบอดได้ ฮ้า… แต่พอเราเดินไปดูที่ดูทางแล้ว ก็เปลี่ยนใจไม่ไปดูเพนกวิน เพราะทางลงมันก็มืดๆ เป็นหินอีกตะหาก เผลอๆ อิชั้นอาจกลิ้งตกทะเล และจุดที่เพนกวินขึ้นก็ห่างไป ๒๐๐ เมตร มันจะตัวเท่ามดไม๊ฟระ ถนอมตัวไว้ดีกว่าเรา…

Tuesday, April 15, 2008

Day V - Lauceston





นับเป็นอาหารเช้าที่อลังการมั่กๆ สมราคา ๓๐๐ เหรียญ เราเลยกินซะเต็มที่ ที่นี่ให้กาแฟสดเป็นแบบชงเองด้วย หูย… ป้าชอบมาก พอซัดอาหารเช้าแบบเต็มสตีมแล้ว เรา, ปุ๊ก และพี่รัตน์ก็ออกไป Trek ต่อ แต่เลือกรอบเล็ก เพราะป้าปุ๊กเดี้ยงไปแล้ว เดินขากระเผลกมาเชียว คราวนี้เป็นแนว Trek ในภูกระดึง ฟ้าใส๊ใส อากาศดีมั่กๆ เพราะ สายจนจะ ๑๐ โมงแล้ว ยังมีน้ำค้างให้เห็น อากาศเย็นสบาย น่าเดินเอามากๆ แถมเขายังทำทางเป็นสะพานไม้เล็กๆ ให้เดิน เลยยิ่งสะดวกเข้าไปใหญ่ และยังเป็นการไม่ทำลายธรรมชาติด้วยนะ เพราะคนจะไม่เดินลงไปเหยียบหญ้า เสียอยู่อย่างเดียว คือ ขี้จิงโจ้เยอะไปหน่อย ป่าก็มีตั้งกว้าง ทำไม๊ ทำไม มันต้องมาขี้บนสะพานที่มีอยู่แค่ ๐.๒% ของพื้นที่ด้วยฟระ แต่ดูๆ ไป ขี้จิงโจ้ก็น่ารักดี เป็นก้อนกลมๆ เล็กๆ เห็นแล้วน่าจะเก็บมาปาหัวไอ้หนุ่มอย่างที่สาวๆ ที่ไซท์เขาแซวกัน พวกเราเดินเสร็จเอาเที่ยง ก็ได้เวลาล้อหมุนไป Lauceston

ตอนแรกเราอยากแวะไป Dismal Swamp เพื่อเล่นสไลด์เดอร์แบบแห้ง (นอนในถุงแล้วไหลลงมา) แต่มันออกนอกเส้นทางไปเยอะ เลยต้องตัดใจ ตรงดิ่งเข้า Lauceston เลย และนี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ขับรถมา ที่ได้รู้สึกว่าขับบนไฮเวย์ เพราะมันเป็นถนน ๔ เลน แถมพอใกล้ๆ จะถึงตัวเมือง ก็มีป้ายเตือนตรวจจับความเร็วด้วย ขนาดเราเป็นคนขับรถช้าอยู่แล้ว ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ -_-" (งานนี้เราเป็นคนขับ เพราะทั่นผู้ว่าฯ เดินจนขาเดี้ยงไปแล้ว กรุณาดูหลักฐานจากภาพถ่าย ๕๕๕ บอกแล้วว่า ดร.มาตินส์ work สุดๆ ๕๕๕...)

ถึง Lauceston เกือบบ่าย ๒ ร้านจีนไม่ยอมให้นั่งกินในร้านแล้ว เราเลยต้องซื้อข้าวมานั่งกินที่พาร์คใกล้ๆ ปุ๊กดูเขินๆ แต่เราเฉยๆ อ่ะ รู้สึกเหมือนมาปิกนิคมากกว่า แล้วก็ได้เวลาไปหาที่พัก ที่เมื่อคืนเรากับปุ๊กเลือกไว้ ๒-๓ แห่ง (เมืองนี้เป็นเมืองแรกที่พวกเราไม่ได้จองที่พักไว้ก่อน) แต่ปรากฎว่า มันเต็มหมดเลย! ทำเอาพวกเรางงไปหมด ใครจะบ้ามาเมืองแบบนี้กันเยอะขนาดนี้ฟระ แถมมาในช่วง Weekday อีกตะหาก Motel อันสุดท้ายที่พวกเราไปติดต่อแนะนำให้ไปติดต่อที่ I (Information) เพราะจะสามารถช่วยพวกเราหาที่พักได้
ซึ่งก็ช่วยได้จริงๆ นั่นแหละ ในที่สุด พวกเราได้ที่พักที่ห่างออกไปนอกเมือง ซึ่งเหลืออยู่ห้องเดียว คือ แบบ ๓ ห้องนอน นอนได้ตั้ง ๖ คน แต่ที่สำคัญ คือ มีครัว! คราวนี้พี่รัตน์จะได้สำแดงฝีมือแล้ววววว งานนี้พวกเราถึงเข้าใจว่า ทำไมที่พักถึงเต็ม ก็เพราะมันมีแรลลี่พรุ่งนี้ แถม I ยังขู่ว่า "Tomorrow will be even worse!" พอถามเรื่องทุ่งดอกวาเวนเดอร์ เขาก็บอกว่าหน้านี้มันไม่มีดอกแล้ว เลยทำให้เรากับปุ๊กเปลี่ยนใจนอนที่เมืองนี้แค่คืนเดียว จากที่ตั้งใจไว้ตอนแรกว่าจะนอน ๒ คืน โห… เมื่อคืนวางแผนกันเหนื่อยแทบตายห้า คืนนี้ต้องมาทำแผนท่องเที่ยวใหม่อีกแล้ว (แผนงานก่อสร้างโครงการพันล้านของอิชั้นยังไม่ตั้งใจทำขนาดนี้เลยนะฮ้า…) ปุ๊กแซวว่า ถ้าหมูมาด้วยก็คงดี หมูคงชอบและช่วยวางแผนให้ได้ ๕๕๕… ส่วนเราก็ค่อนขอดพี่น้ำพริกอ่องอยู่ในใจ หนอย… แนะนำเราว่าไม่ต้องจองที่พักให้หมดก็ได้ ให้ไปหาเอาข้างหน้า เป็นงัยล่ะ กลับไปจะต้องไปต่อว่าแล้วเนี่ย…

พอได้ที่พัก ก็ไปเที่ยวได้ล่ะ ปุ๊กเสนอให้ไปดูสะพานแขวนที่พาร์คแห่งนึง และนี่เป็นครั้งที่ ๒ ที่โดนโบว์ชัวร์หลอก มันไม่มีอะไรเอาเสียเลย เป็นแค่สะพานเล็กๆ (ถ้าเราไม่เล่นเครื่องเล่นจองเขาอ่ะนะ) ดูๆ อยู่แป๊ปนึงก็กลับ ไปซื้อของใน Supermarket ดีกว่า คืนนี้จะกินให้อลังฯ เลยเชียว แต่ขาไป Supermarket เราดันขับรถหลงในมหาวิทยาลัย เลยต้องหาทางออกกันเป็นที่วุ่นวายไปหมด ลุ้นอิ๋บอ๋าย นึกว่าต้องนอนในมหา'ลัยซะแล้ววววก่อนหลับเราแวะส่งโปสการ์ดให้ที่บ้านกับหมู ตอนแรกจะส่งให้เก๋ด้วย แต่ปุ๊กออกไอเดียว่า ให้แกล้งเก๋โดยการส่ง ๒ ใบ ให้ส่งใบนึงที่สุวรรณภูมิ และที่สำคัญต้องให้มันไปถึงก่อนใบที่ส่งจากทัสมาเนีย แม่ฟังแล้วขำใหญ่ รีบอนุมัติแผนทันที ๕๕๕… เราเลยต้องเก็บโปสการ์ดของเก๋ไว้ส่งวันสุดท้าย แต่ต้องซื้อโปสการ์ดเพิ่มอีกใบ แหม… จะแกล้งคนอื่นนี่ มันก็เดือดร้อน(กระเป๋าสตางค์)ตัวเองด้วยนะเนี่ย… เฮ้อ…

Monday, April 14, 2008

Day IV - Craddle Mountain






เมื่อคืนนอนซะเต็มอิ่ม วันนี้เลยออกเช้า ขับไป Craddle Mountain ระหว่างทางแวะถ่ายรูปที่เขื่อน ถึงฝนจะตกหน่อยๆ ชาวคณะก็ไม่หวั่น น้ำในเขื่อนใสสะท้อนเป็นกระจกเลย เที่ยงนิดๆ ก็ถึง อุทยานแห่งชาติ Craddle Mountain ว่าแล้วก็แวะ Information เพื่อสอบถามเส้นทางท่องเที่ยว ถามแค่แป๊ปเดียวเท่านั้น แต่เวลาหมดไปกับการช้อปปิ้งซะมากกว่า ทั้งพี่รันต์, ปุ๊ก และเราได้เสื้อหนาวมาคละตัว เป็นเสื้อของอุทยานฯ เลยจะมีปักรูป Tasmania Devil ไว้ด้วย ทุกคนซื้อสีดำหมด เลยกลายเป็นเสื้อทีมไปอย่างไม่ตั้งใจ และในที่สุด เราก็มีเสื้อหนาวที่ถูกระเบียบชาวลอนดอนแล้ว เย้! และต้องไม่ลืม อิชั้นต้องรีบสแตมป์ตราอุทยานฯ หุหุหุ…

เนื่องจาก Craddle Mountain เป็นอุทยานฯ ที่ใหญ่มากๆ ทางอุทยานฯ เลยมีรถบัสวิ่งวนในอุทยานฯ ให้นั่งท่องเที่ยวได้ใช้ฟรี (รวมในค่าเข้าเรียบร้อยแล้ว) แต่ถ้าจะไปดูสัตว์ตอนกลางคืน มีทัวร์เสียเงินให้เลือกซื้อ เย็นนี้มีไปดู Wombat แต่ค่าทัวร์คนละ ๑๕ เหรียญ พวกเราเลยลังเลใจไม่ซื้อ แหม… ยังพอมีเวลาตัดสินใจนิ
พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ (มื้อนี้มี ข้าวแกงเขียวหวานอีกแล้ว แต่อร่อยสู้เมื่อวานไม่ได้ แหม… มันฮิตดีจริงๆ) ก็ยังเช็คอินไม่ได้ พวกเราเลยแวะเดินรูทใกล้ๆ (สั้นๆ) ก่อน ตามประสาป้าๆ ขี้เกียจเดิน คราวนี้เดินรูทที่เรียกว่า Pencil Pine เป็นทางเดินบนสะพานไม้ เดินได้สะดวกมากๆ ๒๐ นาที เสร็จ และการหาจุดเริ่มเดิน ก็หาได้ไม่ยาก เพราะเขาจะทำป้ายเป็นรูปตัว W และมีรอยรองเท้าเป็นส่วนนึงของตัว W น่ารักมากๆ เสร็จจาก Pencil Pine Route คราวนี้เป็นของจริง เพราะเราตกลงจะเดินรอบ Dove Lake ซึ่งเป็นรูท ๒ ชม. แม่เลยนั่งรอบนรถ
๕ นาที แรก ทะเลสาปสวยมากๆ ค่ะ ถ่ายรูปกันใหญ่ ชื่นชมทัสมาเนียกันสุดๆ ผ่านไปครึ่ง ชม. เสียงเริ่มเงียบ ผ่านไป ๑ ชม. จะเดินกลับก็ใช่ที่ เพราะเดินมาครึ่งทางแล้ว เลยเดินต่อไป ผ่านไป ชม. ครึ่ง "เฮ้ย หนิง ทำไมมันไม่เห็นกระท่อมเหมือนในโปสการ์ดซะทีวะ นี่เราเดินมาจะครบรอบแล้วนะ" "อืม นั่นดิ แต่ชั้นว่า เราใกล้ถึงแล้วล่ะ พ้นโค้งข้างหน้า น่าจะเห็นที่จอดรถแล้ว" ผ่านไปอีกครึ่ง ชม. เฮ้ เห็นกระท่อมแล้ว ถ่ายรูปๆๆ ตอนถ่ายก็เห็นว่า มีคุณแม่ลูกอ่อนอยู่แถวนั้น เรากำลังตัดสินใจว่าจะเตือนเขาดีไม๊ว่า อย่าเดินต่อเลย เดินกลับเหอะ นี่ก็จะ ๕ โมงเย็นอยู่แล้ว ยูจะต้องเดินอีกเป็น ชม.ๆ เลยนะ ก็เห็นเขาเดินย้อนกลับ เลยไม่ต้องเตือน แล้วก็ทนเดินต่ออีกครึ่ง ชม. ก็ถึงลานจอดรถ เบ็ดเสร็จพวกเราเดินไป ๒ ชม. ๔๕ นาที เฮ้อ… ฝรั่งเดิน ๒ ชม. แต่คนไทยสูงอายุอย่างคณะเราเดินไป ๒ ชม. แก่ๆ เฮ้อ… ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ปุ๊กเลยพาแม่ไปถ่ายรูป เดินไปแค่ ๕ นาที ก็ได้วิวเดียวกับที่เราเดินไปเกือบ ๓ ชม. โฮๆๆ
ขากลับเราเห็น Wombat กินอะไรก็ไม่รู้อยู่ข้างทาง เลยเรียกให้คนอื่นๆ ดู ปรากฎว่า ปุ๊กจอดรถเอี๊ยด ถอบปรู๊ดเดียวมาอยู่ข้าง Wombat ให้เราถ่ายรูป เราก็หยิบกล้องมือไม้สั่น โดยมีเสียงปุ๊กเร่งให้เราเร็วๆ หน่อย เพราะมีรถตามมา เดี๋ยวจนด่าว่าพวกหัวดำจอดรถมั่วซั่ว ยังจัดมุมกล้องไม่ได้ดี Wombat ยังไม่หันหน้ามาเลย เราก็กดชัดเตอร์แล้วให้ปุ๊กรีบออกรถ พอมองกระจกหลัง ทีไหนได้ ฝรั่งจอดรถกันหมด ฮือ… หนูไม่ย๊อม หนูไม่ยอม… สรุปว่างานนี้ทุกคนประหยัดไปคนละ ๑๕ เหรียญ ไม่ต้องไปซื้อทัวร์ส่อง Wombat กับทางอุทยานฯ แถมได้เห็น Wombat อย่างใกล้ชิดอีกตะหาก หุหุหุ…
พอเข้าที่พักแพงโคตรอันนี้ได้ (คืนละ ๓๐๐ เหรียญยูเอส ดีนะเนี่ยที่ค่าเงินมันตกอยู่พอดี แต่ถึงกระนั้น อิชั้นก็สรุปให้พักแค่คืนเดียวพอ แม้ว่าพี่เปิ้ลจะบอกว่าควรพัก ๒ คืนเป็นอย่างน้อยก็ตามที) ก็ดันหาที่เปิด heater ไม่ได้ กว่าจะตามเขามาจัดการให้ได้ ทุกคนก็ขี้เกียจออกไปกินข้าวแล้ว วันนั้นทุกคนเลยได้กินมาม่าเป็นดินเนอร์โดยพร้อมเพียงกัน

Sunday, April 13, 2008

Day III - Strahan 2






โรงแรมที่พักที่ Strahan เจ๋งมาก เพราะเขา Link กับร้านอาหารข้างล่างหมด กินอะไรก็ชาร์จกลับไปที่ห้องได้ แต่เสียดายที่พวกเราไม่ได้ทดลองใช้บริการนี้ พอกินแซนวิชกับกาแฟในห้องเสร็จ ก็ออกไปเที่ยวกัน (ที่เมื่อวานเรากับปุ๊กอ่านโบว์ชัวร์กันแทบตาย เพราะมันช่างไม่มีที่ให้เที่ยวกันเล๊ยยยย รึเพราะเรางกไม่ไป River Cruise ก็ไม่รู้ ส่วนเหมืองเก่าก็ไม่น่าสนใจ) เลยตกลงว่าจะไปเที่ยวแบบไม่เสียตังค์กัน
เริ่มจากไปถ่ายรูปที่จุดชมวิว ซึ่งสวยขนาดพวกเราไปถึงแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าไปถึง มันสวยตรงไหนวะ แต่ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันตามธรรมเนียม แล้วก็ไปน้ำตกที่อยู่ใกล้ๆ ต่อ ตอนแรกแม่ทำท่าจะเดินไม่ไหว เลยให้เรากับพี่รัตน์ล่วงหน้าไปก่อน แต่สุดท้ายก็เดินมาจนถึงตัวน้ำตก โดยมีคุณลูกสาวให้กำลังใจบวกบังคับใจมาตลอดทาง
แล้วก็กลับมากินข้าวเที่ยงในเมือง เราสั่งซีซาร์สลัดมากิน ในจานสลัดทีก้อนอะไรขาวๆ ใหญ่ๆ อยู่ก้อนนึงที่ทุกคนไม่ยอมกิน เพราะคิดว่ามันเป็นชีสก้อนใหญ่เบิ้ม บังเอิญเราเขี่ยไปโดน เลยลองกินดู ปรากฎว่ามันรสชาดจืดๆ เลยกินต่อ กินๆ ไป ถึงได้เห็นว่า มันคือ "ไข่ต้ม (แบบไข่น้ำ)" ฮ้า… เกิดมาก็พึ่งจะเคยกินซีซาร์สลัดใส่ไข่ต้มนี่แหละ คราวนี้เลยกินกันใหญ่ พอกินเสร็จ ก็แวะซื้อของที่ร้านขายของที่ระลึกกัน (ที่ตอนเช้าทุกคนมาเล็งกันหมดแล้ว ยกเว้นเรา) แม่ได้เสื้อคลุมกันหนาว ส่วนเราได้หมวด ๒ ใบมาให้ ๒ หลาน(สาว)รัก
แต่ก็พึ่งจะบ่ายต้นๆ เอง เราเลยเสนอให้ไป Great Ocean Beach ที่อยู่ในอันดับท้ายๆ ของสถานที่ท่องเที่ยว (ตามคำแนะนำในโบว์ชัวร์)

ระหว่างทางไป มีร้านขายผลิตภัณฑ์จากไม้สน (สนขึ้นชื่อของที่นี่ คือ Huon Pine) เลยลงไปแวะดูกัน ของก็สวยดี แต่ราคาแพงโคตรๆ แต่บังเอิญแม่กับปุ๊กบุกเข้าไปถึงหลังร้าน เลยเห็นว่า เขามีไม้สนแบบทำไม่ค่อยเสร็จดีแบ่งขาย เอาไว้ให้คนที่อยากจะเป็น "ช่างไม้" เอาไปลองทำดู แม่กับพี่รัตน์เลยได้ "เขียงไม้สนฮูออน" มาคนละ ๑ แพค คราวนี้ถึงได้เวลาไป Great Ocean Beach จริงๆ
และก็ได้ใช้ประโยช์นจากรถ 4 Wheels ที่เช่ามา เพราะมีอยู่ช่วงนึงทางขรุขะมาก พอขับตะบึงมาถึง ลงจากรถปุ๊ป แทบกระโดดกลับขึ้นรถ เพราะลมทะเลพัดแรงมาก หนาวโคตรๆ แต่ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว เลยลงไปถ่ายรูปกัน โปรดสังเกตชุดเดินชาดหาย ได้อารมณ์ทะเลมากกกกกกกกกกก ส่วนปุ๊กถ่ายรูป Great Ocean Beach แบบลวงโลกมาได้ใบนึง เราเห็นความสามารถในการซูมของกล้องปุ๊กแล้ว นึกอยากได้กล้องใหม่สุดๆ พอกลับขึ้นมาที่ลานจอดรถ ถึงเห็นว่ามีรถตามมาอีกหลายคัน รวมถึงคู่คุณลุงกับคุณป้าที่จุดชมวิวเมื่อเช้าด้วย เลยลงความเห็นกันว่า เพราะทุกคนไม่มีที่ไปนั่นเอง! ก่อนกลับก็แวะทะเลสาบที่อยู่ใกล้ๆ มีคุณลุงลงไปยืนแช่น้ำเย็นตกปลาอยู่ อันนี้คลูของจริง!
มื้อเย็นพวกเรากลับไปร้านที่กินตอนกลางวัน เพราะมีเมนูน่าสนใจอยู่อันนึง ที่เขาเขียนว่ามีเฉพาะมื้อเย็น มันคือ แกงเขียวหวานไก่กับข้าว ฮ้า… เลยต้องสั่งมาลองกิน ซึ่งก็พบว่า มันเวิร์คมาก อร่อยดีจริงๆ เรากับปุ๊กเม้าท์กันว่า ต้องให้ ททท. มาดูงานที่นี้ เพราะโคตรจะไม่มีอะไร แต่ตาม Web หรือ Information Center ขึ้นชื่อ หรือมีโบว์ชัวร์เมืองนี้เยอะมากๆ จนทำให้เรากับปุ๊กเข้าใจกันผิดว่า มันเป็นเมืองที่น่าสนใจมากๆ เลยตัดสินใจนอนกัน ๒ คืน งานนี้โดนฝรั่งหลอกอ่ะ!

Saturday, April 12, 2008

Day II - Strahan 1





เพราะปุ๊กบอกว่าขับจาก Hobart ไป Strahan ประมาณ ๓๕๐ กม. พวกเราเลยย่ามใจ แวะเที่ยวกันใหญ่ พอแวะซื้อเสบียงที่ Supermarket แล้ว ระหว่างทางผ่านฟาร์มสวยๆ ป้าๆ ก็แวะลงไปถ่ายรูป ขับผ่านทุ่งหญ้าเลี้ยงวัว ก็แวะถ่ายรูป แล้วก็กลัวว่าจะไปถึง Strahan เร็วกว่าที่คิด เราเลยเสนอให้ขับอ้อมไป Mt. Field ซึ่งเป็น National Park ระหว่างทาง

การเข้า National Park ของที่นี้ จะมีการเก็บค่าเข้าทีละ ๒๒ เหรียญ แต่คุณป้า จนท. บอกว่า มีแบบเหมาจ่าย เข้ากี่ Park ก็ได้ในเวลาที่เราอยู่ เสียแค่ ๖๑ เหรียญ แต่สูงสุดอยู่ได้ไม่เกิน ๑ เดือน เลยตกลงซื้อแบบนี้ ซึ่งคุณป้าก็เอาบัตรเข้าอุทยานฯ ให้ ๒ บัตร บัตรนึงเอาไว้ติดที่กระจกรถ อักอันนึงเก็บไว้กับตัว เป็นบัตรยาวๆ เอาไว้สแตมป์ตาม National Park ที่เราจะไปเที่ยวกัน ว่าแล้วเราก็หยิบตรา Mt. Field มาสแตมป์ แต่พอเหลือบไปเห็นว่ามีที่สแตมป์อีกอันของ Hazte National Park เราก็หยิบมากะสะสมตราสแตมป์ คุณป้าหันมาถามว่า เราไปมาแล้วเหรอ พอตอบว่า ยัง คุณป้าก็เก็บตราสตมป์นั้นไป อ้าว คุณป้า หนูไม่ได้จะโกงนะคะ แค่อยากจะสะสมตราสแตมป์เท่านั้น อะไรจะเคร่งครัดขนาดนี้เนี่ย…

ว่าแล้วก็ได้เวลาเดินไปดูน้ำตก สถานที่ท่องเที่ยวที่นี่ดีมาก ให้ข้อมูลครบถ้วน พวกเราเลยเลือกเดินแบบรูทสั้น เพราะแม่จะได้เดินได้ด้วย ระหว่างทางเดิน เฟิร์นกับมอสเยอะมาก ต้นไม้ก็สูงใหญ่เอามาก ให้ความรู้สึกอเมซอนสุดๆ แม่หยุดที่น้ำตกชั้น ๑ พี่รัตน์ตกลงจะเดินกลับเป็นเพื่อนแม่ เรากับปุ๊กเลยเดินต่ออีกนิดนึง แล้วก็วนกลับ

ออกจาก Mt. Field ก็แวะหาข้าวเที่ยงกิน ตอนแรกพวกเรากะกินข้าวกันใน Rest Area ระหว่างทาง แต่ก็โดนป้ายหลอก เพราะ Rest Area ที่พวกเราแวะ มันปิดไปแล้ว แม่โว๊ย อุตส่าห์ขับเข้ามาตั้งไกล สุดท้ายเลยได้แวะกินที่ร้านในโรงแรมแถวนั้น ดูหรูดี ห้องน้ำก็ห๊อม หอม เลยกิ๊บก๊าบกันใหญ่ แล้วก็แวะเที่ยวต่อที่ Lake St. Clair ซึ่งในโบชัวร์เขียนว่า สวยมาก แต่บังเอิญว่าตอนพวกเราไปฝนตกหน่อยๆ เลยไม่ค่อยสวย น้ำไม่เป็นสีฟ้าสวยเหมือนในรูป เลยเดินแค่แป๊ปนึง แต่หนักไปทางช้อปปิ้งแทน เพราะปุ๊กสนใจจะซื้อเสื้อหนาวซะมากกว่า เป็นงัยไป…

เผลอตัวอีกมีก็จะ ๕ โมงเย็นแล้ว ได้เวลาไป Strahan กัน ซึ่งเหลือระยะทางอีก ๑๐๐ กม. คราวนี้เปลี่ยนเป็นเราขับบ้าง ตอนแรกนึกว่าจะขับแค่ ชม. นิดๅ แต่ที่ไหนได้ ซัดไป ๒ ชม. กว่า เพราะต้องขับบนทางโค้งไปมายังกับเส้นแม่ฮ่องสอน แถมเริ่มค่ำแล้ว ฝนตกอีกตะหาก ขับจนพระอาทิตย์ตกดินไปเป็น ชม. แล้วก็ยังไม่ถึงซะที ดีที่ถนนเขาทำป้ายสะท้อนไฟตลอดเส้นทาง เลยช่วยเราได้มาก แต่ก็ยังมุขกันตลอดทาง (แก้กลุ้มใจ) กว่าจะถึง Strahan ก็ปาเข้าไปเกือบ ๒ ทุ่ม กินข้าวเย็นเสร็จ ก็สลบเข้านอนทันที

Friday, April 11, 2008

Day I - Hobart

หลับไป ๑ ตื่น ก็ถึง Melbourne ตอนแรกพวกเราเข้าใจว่า มันจะสามารถ Check through เพราะได้ Boarding Pass ทั้ง ๒ ใบ แต่ที่ไหนได้ พอถึงสนามบิน Melbourne มันดันไม่ให้ International Transit เฉยเลย กว่าจะคุยกันเข้าใจว่าต้องออกมา Check in และ Load กระเป๋าอีกรอบ ก็เสียเวลาอีกนานโข ดีที่มีเวลาต่อ Flight นาน เราก็บ่นๆ กับปุ๊กว่า มันช่างไปรับนักท่องเที่ยวเล๊ย แถมตอนผ่าน Customs ก็ให้ต้องลุ้นอีกรอบ เพราะพวกเราเอามาม่ากับน้ำปลามา เราว่าน้ำปลาน่าหวาดเสียวกว่ามาม่าอีกวะ แต่ก็ติ๊กช่องไม่ต้อง Declare กะว่า ถ้าซวย จะแก้ตัวว่า "อ้าว เหรอคะ สงสัยติดกระเป๋ามาจากทริปที่แล้ว" แต่ปรากฎว่า มันสแกนกระเป๋าทุกใบใหม่ ทำเอาเราลุ้นหัวใจแทบวาย ส่วนปุ๊กต้องเอามาม่าที่กระเป๋าแม่มารวมกับของปุ๊ก เผื่อโดน จะได้โดนแค่คนเดียว และปุ๊กก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าแม่ แต่สุดท้ายทุกคนก็ผ่านออกมาด้วยดี

พอออกมาได้ ก็ปรี่จะไปเช็คอินเพื่อจะไป Hobart อุตส่าห์คิวตั้งนาน พอถึงคิว ปุ๊กโดนด่าว่า อ่านหนังสือไม่ออกรึงัย เขาให้เช็คอินภายใน ๒ ชม. ก่อนขึ้นเครื่อง นี่มันยังไม่ถึงเวลา แป่วววว เลยผลัดกันไปเดินเล่น เพราะสนามบิน Melbourne ใหญ่ใช้ได้ ร้านเยอะดี พอเดินแก้เบื่อได้ เรากับปุ๊กเล็งๆ พวกเสื้อยืดลดราคากับของกระจุกกระจิกไว้ แต่แม่ไม่รอซื้อ Magnet ประเดิมก่อนใคร แล้วก็ได้เวลาเช็คอินจริงๆ ซะที

สนามบิน Hobart มีเครื่องบินจอดแค่ ๒ ลำ เล็กกว่าสนามบินหาดใหญ่ซะอีก เพราะให้คนเดินลงจากเครื่องเข้าตัวอาคารได้เลย แถมพอเข้าตัวอาคารปุ๊ป ก็ถึงสายพานรับกระเป๋าเลย ฮ้า… เรากับปุ๊กก็ปรี่เข้าไปหยิบโบว์ชัวร์ท่องเที่ยวใหญ่ พอได้กระเป่ากันครบ ก็ไปรับรถที่จองไว้ มันคือ Nisson X-Trail แบบ 4Wheels (เพราะ ๒ ป้า กลัวตะลุยป่าไม่มันส์) ปรากฎรถคันใหญ่กว่าที่เราคิดมาก เลยให้ปุ๊กขับก่อน พอถึงโรงแรม หญิงก็โทรมาอวยพรให้เดินทางปลอดภัย เราเลยขำใหญ่ หญิงมันคงเหงาวะ เพราะต้องอยู่ กทม. คนเดียวหลายวัน ไม่เป็นไร จะเที่ยวเผื่อนะจ๊ะ

แล้วก็ออกไปขับรถชมเมือง บังเอิญขับผ่านร้านจีน แต่พอจะกลับมาอีกที ก็หาทางกลับไม่ได้ ขับวนอยู่ตั้งนานจนหมดหวัง พอเลิกหวัง ก็วนกลับมาหน้าร้านพอดี ให้ตายเหอะ โรบิน! มื้อนี้เลยได้กินของอร่อย เตรียมพร้อมไปเที่ยวพรุ่งนี้

Thursday, April 10, 2008

ออกเดินทาง

มาร์คุสดันมานัดดูโรงงานวันนี้พอดี และให้บังเอิญอีกว่าโรงงานอยู่แถวหนองจอกพอดี เราเลยบอกว่า ถ้าจะให้เราไปดูโรงงาน มันจะต้องไปส่งเราที่สนามบินฯ ด้วย ซึ่งมาร์คุสก็ยอมแต่โดยดี พอดูโรงงานเสร็จ เราก็แยกตัวจากคณะของพี่วิลทันที พี่วิลเลยจับได้ว่า เราไปเที่ยว แถมมีผู้รับเหมาไปส่งอีกตะหาก เราเลยมุขแก้เขินไปว่า "I'll make sure that he'll get the project. Otherwise, he'll send me the limo bill." พี่วิลขำใหญ่ (แต่เรามาสำนึกได้ทีหลังว่า ไม่ควรใช้มุขนี่วะ มันอันตราย!) และแล้วเราก็ได้ Fortuner มาส่งที่สนามบิน

แต่ปรากฎว่า ทุกๆ คนไปถึงกันแล้ว จากที่คิดว่า เราจะไปถึงก่อนปุ๊กกัยแม่ ส่วนพี่รัตน์ไปถึงคนแรกเลย ก็เลยมีเวลาช้อปกันเหลือเฟือ (ผิดกับตอนไปอังกฤษ) ช้อปกันมันส์มาก ปุ๊กซื้อ Brush-on ของ Bobby Brown ที่อยากได้มานาน พอน้องคนขายเรียกปุ๊กว่า "น้อง" ป้าเลยตกลงใจซื้อเลย ส่วนเราซื้อแป้งพัฟ Bobby Brown เพิ่มความงาม ที่ปุ๊กแซวว่า ที่ถูกต้อง เราควรซื้อแป้งพัฟของ Shisedo ตะหาก!

คราวนี้ไปเที่ยวด้วยสายการบิน Low Cost ชื่อ Jetstar ที่เราประทับใจกว่า Air Asia มาก เพราะมันระบุที่นั่งได้ ไม่ต้องรีบวิ่งไปคิว น้ำกับอาหารที่ขายก็ราคาน่าคบหา แต่ที่เราชอบมาก คือ พนักพิงหัว เพราะมันพับออกมาได้ เหมาะแก่การนอนจริงๆ

Wednesday, April 9, 2008

เมื่อคุณหนูจะไปเที่ยว

จู่ๆ ปุ๊กแชทมาบอกว่า กำลังคุยกับแม่เราอยู่ ทำเอาเรางง นึกว่ามุข แต่ที่ไหนได้ เป็นเรื่องจริง เพราะหมะโทรไปฝากเรากับปุ๊ก ให้ปุ๊กกับแม่ช่วยดูแลเราระหว่างที่ไปเที่ยวทัสมาเนีย ปุ๊กงี้ขำใหญ่ พอค่ำๆ หมะโทรมาคุยกับเรา เราก็คุยไปเรื่อยๆ ดูดิว่า หมะจะบอกเราไม๊ หมะก็อ้อมๆ แอ้มๆ อยู่พักนึง สุดท้ายก็บอกมาแบบกลัวเราว่า แต่ก็ไม่พ้น โดนต่อว่าจริงๆ นั่นแหละ แหม.. อีกไม่กี่ปีลูกสาวก็จะ ๔๐ แล้วนะ เราเลยต้องกำชับว่า ทีหลังอย่าโทรไปแบบนี้อีก เราอายนะ...

Tuesday, April 8, 2008

สู้โว๊ยยยยยยยย

หห. มาโพสต์ล่อเราให้ไปอ่านไดฯ โห... โดน หห. หยามเรื่องแต่งงานขนาดนี้ ยอมไม่ได้จริงๆ เราเลยต้องเอาคติที่เจอใน Hi 5 ของคุณน้อง มาท่องไว้ ต้องสู้ๆ สู้โว๊ยยยยยย...

ตกบ่ายเราตรวจเอกสารที่จะใช้ส่ง กทม. เลยเห็นเอกสารธุรกรรมบริษัทคุณชัยฯ (ที่เรากับคุณน้องแอบปลื้มพี่เขามาตั้งแต่เรา ๒ คน เริ่มทำงาน ขนาดยังเก็บมาเม้าท์กันตอนเราไปเที่ยวอังกฤษ) เราถึงเห็นว่า พี่เขาได้โปรโมทเป็นกรรมการบริษัทแล้ว (ตอนเราเจอเขา เขาเป็น “Senior Structural Engineer” ส่วนเราเป็น “ผช. ผจก. โครงการ” เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก ๑๒ ปี วันนี้พี่เขาเป็น “กรรมการบริษัท” ส่วนเรายังเป็น “ผช. ผจก. โครงการ” เหมือนเดิม เราช่างเป็นคนที่มีความก้าวหน้าในวิชาชีพโดยแท้ -_-“) แต่เอกสารของกรรมการเขาส่งเป็นกรรมการฝรั่งทั้ง ๒ คน เราเลยไม่เห็นสำเนาบัตรประชาชนของคุณชัยฯ ไม่อย่างนั้น เราจะเอามาผูกดวงซะเลย ๕๕๕... นับว่าคุณชัยฯ เป็นคนมีบุญมากๆ เดชะบุญจริงๆ นะเนี่ย...

Monday, April 7, 2008

คนแก่

เช้านี้อิชั้นต้องตื่นเช้ามาก เพราะก๋วยเตี๋ยวเรือจะมาตั้งแต่ ๗ โมงเช้า (ที่พวกเราแอบนินทากันว่า สงสัยป้าแกคงให้ลูกจ้างพายออกมาจากสวนเพื่อให้ได้บรรยากาศก๋วยเตี๋ยวเรือ) แต่ก็คุ้มที่ตื่นเช้า เพราะรสชาดก็โอเค แถมฝนตกหน่อยๆ ได้บรรยากาศบ้านสวนดี ป้าๆ ซัดกันคนละ ๒-๓ ชาม

ก่อนกลับป้าก็เฉลยเรื่องน้ำสมุนไพรที่แกเตรียมไว้เมื่อวาน น้าเขยปุ๊กโดนทายว่า เป็นคนกลัวเมีย ก็เลยฮากันใหญ่ ส่วนเราเป็นคนอ่อนหวาน ไอ้เก๋ฟังแล้วขำใหญ่ แต่พอปุ๊กเดินมาเคลียร์เรื่องเงิน ป้าแกก็พูดชมปุ๊กว่า หน้าเด็กเหมือนเด็กมัธยมปลาย!!! เก๋หันมาพูดกับเราทันทีว่า “ป้าสตอเบอรรี่วะ” แล้วก็ได้เวลาไปชม “พิพิธภัณฑ์แมว” ที่ชาวคณะ (ยกเว้นพวกเรา) อยากจะไปกันตั้งแต่เมื่อวาน แต่เวลาไม่อำนวย

“พิพิธภัณฑ์แมว” ที่ว่า เป็นบ้านหลังนึง ที่เขาเพาะพันธุ์แมวไทยขาย และเปิดให้คนทั่วไปเข้าชม (ก็แน่ละซิ ไม่งั้นจะขายได้งัย) เราว่ามันเหมือน “ฟาร์มแมว” มากกว่านะ แต่ที่แย่สุด คือ เหม็นมาก เรา, เก๋ และนก เลยรออยู่ข้างนอก พร้อมนินทาเจ้าของฟาร์มไปพลางว่า ทำไมถึงเอารูปแต่งงานใหญ่เบอเริ่มเทิ่มมาวางอยู่หน้าบ้าน ผิด Concept “พิพิธภัณฑ์แมว” จริงๆ ออกจาก “พิพิธภัณฑ์แมว” ก็เที่ยงๆ ได้เวลาหาข้าวเที่ยงกิน ระหว่างทางเรากับเก๋ได้ยินว่า ญาติๆ ปุ๊กจะแวะโน่น-แวะนี่ด้วย (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกออกแนววัดวาอาราม) เลยแซวกันว่า พอแก่แล้ว ก็จะเป็นแบบนี้ เถลไถลออกนอกเส้นทางตลอดเวลา ตั้งใจจะกลับถึงบ้าน 6 โมงเย็น จะไม่มีวันสำเร็จได้ ดูแม่เก๋กับแม่เราเป็น ตย. ก็ได้ เก๋ถามว่า พอแก่ๆ แล้วพวกเราจะเป็นไม๊ เราตอบว่า “พี่ว่าเราเป็นแล้วล่ะ ดูที่ไปหัวหินคราวก่อนดิ ๕๕๕...” นกเลยชวนออกนอกเส้นทาง เพราะอยากไปพระราชวังสนามจันทร์มากกว่า พวกเราเลยขอลงก่อนที่บิ๊กซีนครปฐม แล้วเก๋ให้แม่มารับ รออยู่พักใหญ่ๆ แม่เก๋ถึงมา ประโยคแรกที่แม่เก๋ถาม คือ “ทำไมกลับกันเร็วจัง” เรากับเก๋เลยขำกันอีกรอบ แต่ก็ตอบว่า “เที่ยวพอแล้วค่ะ” เรานึกในใจ ที่รอนาน เพราะแม่คงไม่คิดว่าพวกเราจะกลับกันตั้งแต่บ่ายต้นๆ เลยไม่ได้เตรียมตัวออกมารับ (ตามประสาที่แม่ๆ เที่ยวกันจนค่ำมืด) เพราะเก๋บอกว่า ขับรถจากบ้านมาถึงบิ๊กซีไม่ควรเกิน ๑๕ นาที

กว่าเก๋จะเก็บของเสร็จ พวกเราเลยได้กินข้าวเที่ยงซะบ่ายกว่าๆ ก็ไปกินกันที่ร้านข้าวหมูแดงเจ้าที่ปุ๊กเคยพาไปกิน เป็นภาพเดิมๆ เลย คือ จอดรถที่ว่าการอำเภอ แล้วเดินข้ามถนนไปกิน เรางี้หิวสุดๆ เลยซัดก๋วยเตี๋ยวเป็ดเพิ่มด้วย เสร็จก็ไปพระราชวังกัน แต่วนรถไปมาก็หาทางเข้าไม่ได้ซะที เพราะปิดทุกประตู (เก๋ไม่ยอมแพ้ตามประสาเจ้าของบ้านที่ดี) จนมาเจอประตูสุดท้ายมี รปภ. อยู่ ถึงรู้ว่า วันนี้เขาปิด เพราะเป็นวันหยุดชดเชย อ้าว จบกัน เก๋เลยมาส่งเรากับนกที่คอนโด เป็นอันจบทัวร์ หห. แต่เพียงเท่านี้

Sunday, April 6, 2008

ไปดู หห. (จริงๆ)

ขนาดจะไปเที่ยวทริปใหญ่อยู่ร่อมร่อ ก็ยังอุตส่าห์มีทริปเล็กมาแทรก ก็ป้าปุ๊กนะซิ ชวนไปดู หห. (หิ่งห้อยจริงๆ นะ) ที่แม่กลอง เป็นทริป ๒ วัน ๑ คืน งานนี้มี เรา, เก๋ และนก ส่วนนิจมาดู หห. อย่างเดียว แต่ไม่นอนด้วย เลยโดนแซวว่า เป็นเพราะที่เรานอนกันเป็นแบบโฮมสเตย์ ไม่ใช่โรงแรม ๕ ดาว ทริปเริ่มสนุกตั้งแต่ป้าเจ้าของโฮมสเตย์โทรมาบอกเราว่า เขาเปลี่ยนห้องนอนให้เราเป็นแบบครั้งแรกสุดแล้วนะ เพราะโดนป้าปุ๊กโทรมาเม้ง เรางี้ขำเลย ป้าโหดไม่เปลี่ยนเลยวุ๊

ปุ๊กกับแม่มารับเรากับนกที่คอนโดเรา ซึ่งเราพึ่งจะรู้ในเวลาต่อมาว่า จริงๆ พวกเราขับผ่านบ้านนกด้วย เฮ้อ… แล้วก็แวะรับเก๋ที่นครปฐม คราวนี้ชาวคณะพร้อมท่องเที่ยวแล้ว ว่าแล้วก็แวะกินข้าวเที่ยงร้านปุ๊กแนะนำ บรรยากาศดีมาก อาหารอร่อยและมาในเวลาอันรวดเร็ว ห้องน้ำสะอาด ป้าหนิงชวนชิมให้ไปเลย ๕ ดาวค่ะ
ก่อนเข้าที่พักก็แวะไหว้พระที่ติดวัดเก่าแก่วัดนึง เป็นวัดที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงใช้ช่วงกู้กรุงฯ โดยในวัดมีโบสถ์ที่โดนต้นไทรหุ้มไว้ มองไกลๆ จะไม่เห็นโบสถ์ เลยทำให้วัดนี้เป็น ๑ ใน วัดของ Amazing Thailand เราว่าวัดนี้เป็นสถานที่น่าสนใจ แต่คนไทยดูแลจัดการไม่เป็น โบสถ์ดูไม่สะอาด แถมตอนไปฝนก็ตก เลยยิ่งดูเฉอะแฉะ-สกปรกเสียความขลังของสถานที่หมด แถมที่แย่สุด คือ เก๋บอกว่า เก๋ถ่ายรูปอยู่รอบนอกโบสถ์เพลินๆ ก็มีไอ้บ้าคนนึงขว้างกระดาษปิดทองออกมาจากโบสถ์โดนเก๋ เราฟังแล้วเซ็งมาก เพราะในโบสถ์เขาก็วางถังขยะให้ แต่แม่งไม่สนห้าอะไรเลย มักง่ายจริงๆ นี่ขนาดเข้าวัดทำบุญนะ แล้วอย่างนี้ชาติจะพัฒนายังงัยวะ เซ็ง เข้าบ้านดีกว่า

บ้านที่พัก ชื่อ เรือนรอยน้ำ บ้านกามเทพ (ที่มีบางป้าทักว่า เจ้าของสะกดผิด แต่เจ้าของยืนยันว่ามีคำว่า "รอยน้ำ" มีที่มา แกยินดีจะอธิบายให้ฟัง แต่พอเจอแก ก็ไม่เห็นมีใครสนใจจะไปถาม) ปลูกติดริมแม่น้ำ เรากับนกสวมวิญญาณ Developer คำนวณรายได้แกทันที แล้วก็ตาร้อนว่า แกรายได้ดีมากๆ เลยนะเนี่ย แถมบริการไม่ดี ก็ไม่โดนด่า อ้าว ก็มันเป็นโฮมสเตย์นิ ไม่ใช่โรงแรม ๕ ดาว จะเอาอะไรละคะคุณขา ส่วนปุ๊กเผางานใหญ่ แต่มันดันไม่เอาปลั๊กซ์ ๓ ขามา เลยต้องเอาของเก๋ไปใช้เพราะเดี๋ยวงานยังไม่เสร็จ แต่แบตโน๊ตบุ๊คจะหมดซะก่อน เก๋เลยต้องอัพไดฯ แบบไม่เสียบปลั๊กซ์ เป็นแพลงตอนก็งี้แหละ ต้องรับใช้ท่านผู้ว่าฯ ๕๕๕ เรากับนกเม้าท์กันเพลินๆ พักนึง ก็ได้เวลาไปดู หห.

เรือที่ป้าสัญญากับป้าปุ๊กว่าเป็นลำใหญ่มากกกกกกก ก็มารับ แต่… คำว่า "ใหญ่" ของป้าเจ้าของบ้าน กับของป้าปุ๊กไม่เท่ากัน เลยต้องเคลียร์กันเล็กน้อย แต่เดาไม่ยาก ป้าเจ้าของบ้านแพ้แน่นอน ขนาดห้องนอนเรายังไม่รอดเลย สุดท้าย ป้าก็ยอมให้พวกเรายกเลิกเรือ และไปหาเรือเอาที่ตลาดน้ำ เราว่าก็ดี เพราะเรือก็ลำเล็ก และแพงมากอีกตะหาก

ที่ตลาดคนเยอะมากๆ เดินเบียดกันไปเบียดกันมา ดูคึกคักมากๆ และของกินเยอะมาก (แต่เยอะคนละแบบกับตลาดดอนหวายนะ) เรา, นก, นิจ และเก๋ (ปุ๊กอยู่บ้านทำงาน ๕๕๕…) แวะกินลอดช่องเสร็จ ก็ได้เวลาไปดู หห. (ด้วยค่าเรือที่ถูกกว่าของป้าเกือบครึ่ง) ตอนแรกๆ แทบไม่เห็น หห. แต่พอขากลับ หห. เยอะมาก จนแซวกันใหญ่ว่า จริงๆ เป็นไฟกระพริบด้วยถ่านอัลคาไลท์ตะหาก แต่ที่ขับเรือไม่ขำ แถมด่าอีกตะหากว่า สรยุทธเอามุขแบบนี้ไปแซวแบบนี้ในรายการ ทำให้ชาวอัมพวกเสียชื่อหมด พวกเราเลยต้องลดเสียงลง แล้วก็ได้เวลากลับบ้าน เราว่า โชคดีมากเลยที่ได้ดู หห. ตั้งเยอะ ทั้งๆ ที่แม่บอกว่า หห. จะเยอะสุดๆ ช่วงปลายฝนต้นหนาว แล้วนี่พึ่งจะเข้าหน้าร้อนเอง คนอัมพวาควรช่วยกันดูแลรักษาป่าต้นลำพู จะได้มีแหล่งท่องเที่ยวน่ารักๆ อย่างนี้ไปนานๆ

Wednesday, April 2, 2008

ซวย

เราแหม่งๆ ในใจตั้งแต่ตอนเราเอาบุ๊คฉบับจริงไปยื่นเพิ่มเติมให้ปุ๊กว่า เดี๋ยวตอนคืน ต้องได้คืนไม่ครบแน่ เพราะเราทำอะไรมักมีอุปสรรคอยู่เสมอ และถ้าสังหรณ์ในทางร้าย มันมักจะเป็นจริงทุกครั้งไป (ดูอย่างตอนมือถือหายดิ) คราวนี้ก็เป็นไปตามคาด พอเรากลับมาถึงออฟฟิส แกะซองที่รับมาจากสถานฑูตฯ ก็เห็นว่า เขาไม่ได้คืนบุ๊คของแม่กับปุ๊กมา โธ่โว๊ย! นี่ถ้ายอมเสียเวลาที่สถานฑูตฯ ซัก ๕ นาที แกะมันตรงนั้น ก็ไม่วุ่นวายแบบนี้ล่ะ เราเลยบอกปุ๊กว่า ให้รอกลับมาจากเที่ยวทัสมาเนียก่อนนะ แล้วเราจะไปเอาคืนให้ เซ็งจริงๆ เลย…

แล้วปุ๊กก็ส่งคนรถมารับ Passport และเอกสารอื่นๆ จากเราเพื่อไปทำใบขับขี่สากลให้ เฮ้อ… ค่อยยังชั่วหน่อย หมู่นี้เรายุ่งเรื่องไปเที่ยวคราวนี้มาก จนโดนผู้รับเหมาแซวว่า หมู่นี้คุณหนิงยุ่งมากๆ เลย แต่ไม่ใช่เรื่องงานนะ ๕๕๕…

Tuesday, April 1, 2008

นังเย็นเอ๊ย...

เวลามีคนถามเราว่า เราทำอะไรอยู่ พอบอกว่าเป็นกรรมกร ก็จะโดนต่อว่าว่า ถามดีๆ ดันมาตอบกวนๆ ซะหนิ เราก็ได้แต่ยิ้มๆ นึกในใจว่า พูดจริงก็ไม่เชื่อ วันๆ เราทำอะไรนะเหรอ ถ้านอกเหนือไปจากงานตรวจและอนุมัติแบบ, งานประมูล-จัดซื้อ-จัดจ้างต่างๆ และงานไซท์แอดมินฯ ที่เราใช้ความรู้วิศวกรรมที่มีอยู่น้อยนิดมาใช้ในการหาเลี้ยงชีพแล้ว (ซึ่งเราค้นพบในเวลาไม่นานว่า มันง่ายกว่ามากเมื่อเทียบกับงานจิปาทะที่เหลือที่จะพูดถึงต่อไปนี้) ก็ยังมีงานไซท์แอดมินฯ ประเภท "จิปาทะ" อีกส่วนนึงที่อยู่ในความรับผิดชอบของเราด้วย ซึ่งส่วนที่ว่านี้ใช้เวลาไปซะ ๓๐% ของเวลาในการทำงานทั้งหมดของเรา แต่ถ้าเทียบความน่าเบื่อและน่าปวดหัวละก้อ… เราว่า มันคงปาเข้าไปซะ ๗๐% เห็นจะได้ละมั๊ง งานที่ว่านี่นะเหรอ เช่น

"เฮ้ยหนิง ประตูห้องน้ำตก" "ค่ะ"
"เฮ้ยหนิง มือจับประตูหลุด" "ค่ะ"
"เฮ้ยหนิง กระจกแตก" "ค่ะ"
"เฮ้ยหนิง ฟลัชวาวล์ค้าง" "ค่ะ"
"เฮ้ยหนิง ท่อแตก" "ค่ะ"
"เฮ้ยหนิง Gutter รั่ว" "ค่ะ"
"เฮ้ยหนิง น้ำไม่ไหล" "ค่ะ"
"เฮ้ยหนิง เติมน้ำบ่อบัวด้วย" "ค่ะ"
"เฮ้ยหนิง ได้เวลาต้องดูดส้วม (ให้โรงแรม) แล้ว" "เอ่อ… หนิงไม่ได้ทำงานให้โรงแรมนะคะ" และในใจพูดต่อว่า ใช่ว่าจ้างคอนซัลท์แล้ว จะสามารถใช้งานได้สารพัดนึกทุกอย่างนะคะ อิชั้นไม่ใช่ทาสนะคะ "เฮ้ย แต่อันนี้นายคุณรับปากแล้วว่าจะจัดการให้" "เอ่อ… เหรอคะ ถ้ายังงัยก็คงต้องได้แล้วค่ะ" ในใจพูดต่อว่า เดี๋ยวมาตอนบ่ายป้าจะด่าให้ ทีหน้าทีหลังก่อนจะรับปากอะไรกับโรงแรม ช่วยถามอิชั้นซะนิดเต๊อะ เห็นว่าอิชั้นว่างมากรึงัย เฮ้อ…
"เฮ้ยหนิง สถานฑูตฯ เขาบอกว่า ไฟถนนหน้าสถานฑูตฯ ดับ" "ค่ะ แต่เอ่อ… ทำไมเขาเปลี่ยนหลอดไฟเองไม่เป็นเหรอคะ แต่เอ่อ… ก็ได้ค่ะ"
"เฮ้ยหนิง ข้างบ้านเมลล์มาบอกว่า ควันไฟร้านป้าหน้าไซท์เราปลิวเข้าบ้านเขาวะ แฟนเขาแพ้ควัน" "ค่ะ" ในใจพูดว่า เป็นฝรั่งก็แล้วไป เป็นคนไทย ป้าจะด่าให้ ที่บ้านไม่เคยก่อไฟหุงข้าวรึงัยวะ

เรื่อยไปจนถึง…
"เฮ้ยหนิง ผมขับรถชนรั้วศาลพระภูมิ ซ่อมด้วยนะ แล้วฝากคุยกับโอนเนอร์เรื่องย้ายศาลพระภูมิด้วย" "เอ่อ พี่คะ ขับรถชนบ้านท่านแล้วหนี ยังไม่พอ ใจคอจะย้ายท่านออกจากบ้านอีกเหรอคะ เดี๋ยวนี้ พระ-เจ้าก็ไม่เว้นเลยเหรอคะ แต่ก็… เอ่อ… ค่ะ... ค่ะ"

และเรื่อยต่อไปจนถึง
"เอ่อ คุณหนิงคะ มีคนมาเมาอยู่ที่ร้านป้าค่ะ" "ค่ะ"
"เอ่อ คุณหนิงครับ ร่ม รปภ. ขาดแล้วครับ" "ค่ะ"
"เอ่อ คุณหนิงครับ ผมเข้าไปรดน้ำต้นไม้ไม่ได้ครับ" "ค่ะ" ในใจพูดว่า เอ่อ ไซท์ปิด ๓ วัน ไม่รดมัน มันคงไม่ตายหรอกมั๊งคะ ทีบ้านเพื่อนหนิง ไม่รดน้ำเป็นอาทิตย์ ยังรอดเลย แต่เอ… หรือต้นไม้โรงแรม ๕ ดาวมันจะ Sensitive กว่าต้นไม้บ้านๆ ฟระ
"เอ่อ คุณหนิงครับ ศุกร์นี้ผมจะได้เช็คไม๊ครับ" "เอ่อ… จะเช็คให้นะคะ" อันนี้บ่อยมากกกกกกก

และเรื่อยๆต่อไปจนถึง
"เอ่อ คุณหนิงไอไปประชุมไม่ได้ ยูช่วยจดมินิทให้ไอด้วยนะ" "เอ่อ… แต่นั่นไม่ใช่หน้าที่ของไอนะ" "อืม ไอรู้ แต่ไอไม่ว่างจริงๆ แล้วยูช่วยก๊อปปี้ Appendix C ให้ผู้รับเหมาที่จะมาวันนี้เซ็นรับรองด้วยนะ Appendix C นะ ซีแคทนะ อย่าก๊อปผิดล่ะ" "เฮ้ย…" "อืม ไม่ยากหรอกคุณหนิง ยูทำได้แน่นอน ช่วยหน่อยเถอะ ไอไม่ว่างจริงๆ" "แต่เอ่อ… ไอเป็นผู้ช่วยของณัฐพลนะ ไม่ใช่ผู้ช่วยโครงการ แต่… เอ่อ… ก็ได้ แต่ครั้งเดียวนะ เดี๋ยวไอโดนบอสไอด่าว่าไปทำงานคนอื่น" "Oh! Thank you so much, K.Ning" และจนถึงวันนี้ อิชั้นโดนนัง Edward หลอกใช้งานไปมากกว่า ๑ ครั้ง แน่นอน แต่งานนี้อิชั้นไม่ยักกะโดนนายด่า เพราะนายแค่พูดว่า "Edward นี่มันแย่จริงๆ แต่หนิงทำไปนะดีแล้ว ช่วยๆ กันทำ งานจะได้ไม่ช้า" อ้าว… เป็นงั้นไป…

และความที่เราพูดแต่คำว่า "ค่ะ" บ่อยๆ นี่เอง เลยทำให้เราเผลอไป "ค่ะ" กับคุณสุพจน์ (ผู้รับเหมา)ในเรื่องเคลียร์ไซท์ด้วย ทั้งๆ ที่เราบอกแกไปแล้วว่า ให้ทำอาทิตย์หน้าเพราะเราจะมีรถมาส่งของที่ออฟฟิส ซึ่งจะต้องฝ่าไซท์เข้ามา แต่พอแกบอกว่า "ใกล้ๆ คุณหนิงเตือนผมอีกทีแล้วกัน" เราก็ "ค่ะ" เสร็จแล้วก็มานั่งงงๆ อยู่ที่โต๊ะว่า เอ๊ะ นี่กรูเป็นเลขาฯ ของผู้รับเหมาด้วยเหรอเนี่ย… เอือกส์…