Sunday, January 21, 2007

เมื่อไก่รองบ่อนโทรมา

น้าอินแวะเอาโจ๊กมาให้เราตอนเช้า โห… อย่างงี้จะไม่ให้ชอบชีวิตที่ภูเก็ตได้งัย ว่าแล้วก็ลุกมาทำข้อดี-ข้อเสียในการใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ กับภูเก็ตมันซะเลย ให้คะแนน Weight เสร็จสับ ปรากฎว่า ภูเก็ตชนะไปเล็กน้อยด้วยคะแนน ๔.๐ ต่อ ๓.๕ แต่ก็นั่นแหละ เราก็เกรงใจพี่ณัฐอยู่ดี หลังจากคิดหาเหตุผลที่จะพูดกับพี่ณัฐอย่างปวดหัวมาหลายวัน เราก็ตัดสินใจว่า เราจะพูดกับพี่ณัฐตรงๆ ว่า เราจะอยู่ภูเก็ต แต่พี่ณัฐจะให้เราทำอะไรชดใช้ให้ก็บอกมา แต่กำลังเล็งๆ ว่า จะพูดกับพี่ณัฐในวันพุธเย็นๆ เพราะอยากจะคุยกับคุณติ๊กก่อนในวันพุธบ่าย (พอดีคุณติ๊กไปกรุงเทพฯ จะมาทำงานวันพุธ) แต่พี่ณัฐก็ Surprise เราโดยการให้พี่ฐากรูมาคุยโทรศัพท์กับเรา แถมนัดกินข้าวกันที่กรุงเทพฯ เป็นที่วุ่นวาย เราเลยต้องเปลี่ยนแผนเป็นว่า จะต้องคุยกับพี่ณัฐโดยเร็วที่สุด เพราะเดี๋ยวธุรกิจแกจะเสียหาย ซึ่งก็แปลว่า เราต้องคุยกับพี่ณัฐวันพรุ่งนี้เลย เฮ้อ… เอาวะ เผื่อว่า John จะหาเหตุผลที่ดีๆ ให้เราได้ใน Weekend นี้ สาธุ!

พอบ่ายๆ อู๊ดโทรมาถามอาการเรา เพราะรู้จากหงษ์ว่าเราไม่สบาย มันพยายามหลอกล่อให้เราสัมภาษณ์ในรายการไม่หลับไม่นอน กะหลอกถามชีวิตโสดของเรา ไอ้บ้า ชั้นไม่ใช่ดารานะยะ ไม่มีใครเขาอยากรู้เรื่องชั้นโสดหรอก เราเลยชักเอะใจ กลัวว่าลมจะพัดหวน เลยทำเป็นมุขถามมันว่า ถ้าอีก ๒ ปี แล้วเรายังไม่มีใคร เราจะขอมันแต่งงาน มันจะแต่งไม๊ อู๊ดตอบว่า "ไม่" เป็นอันว่าเคสนี่ปิดแน่นอน

วันนี้เราอยู่บ้าน เลยมีโอกาสตะลุย search เรื่องเจ้าชายจิกมี่ เคเซอร์ฯ เอ๊ย กษัตริย์จิกมี่ เคเซอร์ฯ ครองราชย์อย่างเต็มที่ ตอนแรก search จากภาษาไทยก่อน (ขี้เกียจอ่านภาษาอังกฤษ) ปรากฎว่าในฐานข้อมูลมีแต่ข่าวเจ้าชายฯ เสด็จมาเมืองไทย เลยต้อง search จากภาษาอังกฤษ ค่อยได้เรื่องได้ราวหน่อย (ไม่รู้จะอยากรู้ไปทำไม มันจะมีมูลค่าเพิ่มกับชีวิตตรงไหนก็ไม่รู้… -_-" ทำยังกับว่า ถ้าเกิดการปฏิวัติขึ้นมา จะไปช่วยท่านกู้บังลังค์งั้นแหละ) จากที่ตอนแรกเราคิดว่าเป็นเพราะแรงกดดันของรัฐบาลที่อยากจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเร็วๆ แต่นักการข่าวของอินเดียวิเคราะห์ว่า เป็นเพราะพ่อของเจ้าชายกลัวว่า ถ้าปล่อยไว้นานภูฏานอาจมีเหตุการณ์รุนแรงอย่างเนปาล เลยรีบสละราชย์ฯ เพื่อจะได้ค้ำบัลลังค์ให้ลูกชายในขณะที่ตัวเองยังสุขภาพแข็งแรงและมีบารมีอยู่ อืม… ทรงเป็นพ่อที่ดีจริงๆ เลยนะเนี่ย เราเลยมีโอกาสได้อ่านประวัติพ่อของเจ้าชายฯ เลยเข้าใจเลยว่าทำไมคนภูฏานถึงชอบพ่อของเจ้าชายฯ มากกว่าเจ้าชายฯ ตามที่หมูเคยบอกไว้ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า พ่อของเจ้าชายทำงานหนักคล้ายๆ ในหลวงเหมือนกัน และไม่ค่อยเสด็จต่างประเทศ จะว่าไป พ่อของเจ้าชายก็เก่งมากๆ เพราะครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุ ๑๙ พรรษา ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ฝ่าฟันครองบัลลังค์มากว่า ๓๐ ปี จนถึงปัจจุบันได้ก็นับว่าต้องเป็นคนที่เก่งมากๆ ในหลายๆ ด้านจริงๆ (ว่าแล้วก็ชักลังเลใจว่าควรจะประมูลซองจดหมายกับแสตมป์ในวาระที่พ่อเจ้าชายมีพระชนมายุครบ ๕๐ ปี ในอีเบย์ดีหรือป่าว เพราะแค่ ๑๐ เหรียญเอง เผื่อมันจะมีมูลค่าเพิ่มอย่างมหาศาล…) ในขณะที่เจ้าชายฯ ยังแว่บมาเที่ยวภูเก็ตตอนมางานครองราชย์ ๖๐ ปี ของในหลวง นอนโรงแรมอมันปุรีและเช่าเรือยอช์ทราคาแพงโคตร แต่เอาเหอะ เรารับได้ คนหล่อทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด ว่าแล้วก็ไล่อ่านข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าชายฯ ซะเลย ปรากฎว่ามีหลายๆ ข่าวที่เกี่ยวกับเจ้าชายฯ ตอนเสด็จเมืองไทยทั้งในแหล่งข่าวของอินเดีย, ออสเตรเลีย และ BBC ว่า เจ้าชายฯ เป็นที่ชื่นชอบของสาวไทยมากๆ ป๊อปปูลาร์สุดๆ เขาเรียกเจ้าชายฯ ว่าเป็น Prince Charming แต่เราไม่ชอบชื่อนี้ เพราะฟังแล้วเหมือนชื่อตัวร้ายผู้ชายในเรื่อง Shrek II มากกว่า สู้เป็น "Prince of (My) Heart - เจ้าชายในดวงใจ (ของสาว Desperate)" มิได้หรอก หุหุหุ… ; )

พอเย็นๆ หน่อย ใหญ่โทรมาคุยกับเรา (ร้อยวันพันปีไม่โทรมา แต่โทรมาเย็นวันอาทิตย์นี่อะนะ -_-") เลยได้รู้ว่าปุกได้โปรโมท ซึ่งเป็นไปอย่างที่เราคิด เห็นมีจะต้องโทรไปแสดงความยินดีหน่อยแล้ว… หุหุหุ…

3 comments:

nitbert said...

พี่หนิงรับได้ตลอด แต่คนอื่นไม่ยักยอมรับพี่หนิงแฮะ

อ่ะ.. ล้อเล่นนะ แหะๆๆ

ning_nee said...

หนอย... >;(

Anonymous said...

ขอบคุณมาก ๆ นะครับ สำหรับบทความ