Friday, May 30, 2008

เมื่อป้าไปอบรม Safety

หลังจากเลื่อนไปเลื่อนมาอยู่ชาตินึง เราก็ตัดใจไปอบรมเรื่อง Safety เพราะในที่สุดก็หนีไม่พ้น ต้องดูมันด้วย เพราะพี่ณัฐไม่ยอมไปขอ Site Manager ให้เราซะที เวลาประชุมเรื่องนี้ทีไร เรารู้สึกไม่ค่อยดีทุกทีที่ไม่รู้จะไป Add Value อะไร ประชุม Safety ทีไร ก็หนักไปทางประชุมเรื่องการจัดการเพื่อนบ้านทุกทีไป เฮ้อ...

แต่พอไปอมรมแล้ว แทนที่เราจะรู้สึกดีที่มีความรู้เพิ่มขึ้น เรากลับรู้สึกหนาวๆ ซนิ เพราะเราพึ่งจะรู้ว่า ไอ้ที่เราเซ็นอนุมัติไปโครมๆ ทุกวันให้ผู้รับเหมาทำงาน เราต้องรับผิดชอบด้วยถ้ามีอุบัติเหตุและมีการสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาจริงๆ เออ... มิน่าล่ะ ใครๆ ถึงบอกว่า ทำงานแบบนี้เหมือนมีขาข้างนึงอยู่ในตาราง แห่ม... เครียดโว๊ย ต่อไปอิชั้นจะมุ่งมั่นตั้งใจจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น แต่พอเห็น ตย. อุบัติเหตุที่เขาฉายให้ดูทีไร เรานึกถึงไข่นุ้ยทุกที คนซาดิดส์อย่างมันคงซี๊ดซาดส์ถูกใจอย่างเมามันเป็นแน่ เป็นทีน่าสังเกตว่า ตย. แย่ๆ ในเรื่องของอุบัติเหตุจะเป็นคนแนวหน้าตาอย่างคนบ้านเฮา หรือออกแขกๆ หรือไม่ก็ตี๋ๆ เห็นแล้วก็กลุ้มใจ เพราะคนไทยไม่มีจิตสำนึกด้านความปลอดภัย (รวมถึงตัวเรา) ชอบหยวนๆ พอมีอุบัติเหตุทีถึงจะสำนึก ผิดกับญี่ปุ่น นี่ช่างเป็นสุดยอดในด้าน Safety จริงๆ ฟันธงได้ ตัวอย่างดีๆ ที่เขายกมาให้ดู ล้วนแล้วแต่เป็นของประเทศนี้ทั้งสิ้น

เออ... ได้ออกมานอกกะลาบ้าง ก็รู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง...

Saturday, May 24, 2008

บังเอิญจริงๆ น๊า

วันนี้พี่ยู้เลี้ยงแต่งงานที่ร้านอาหารแถวบ้านเรา เราคิดอยู่เป็นนานว่าจะเบี้ยวดีไม๊ เพราะโหมดอิจฉามันพุ่งพรวดซะเหลือเกิน ก็แหม... สาวที่เราเรียกว่า “พี่” ได้แต่งงานนี่อ่ะนะ แต่คิดไปคิดมา ถ้าไม่ไป จะโดนพี่ๆ ด่าเป็นแน่ เพราะบอกล่วงหน้ามาเป็นอาทิตย์แล้ว เลยต้องทำใจไปร่วมงาน และแม้ว่าต๊ะจะโทรมาชวนให้ไปดูละครถาปัดฯ ด้วยกันก็ตาม ก็จำใจต้องปฎิเสธไป

ในงานก็มีการสัมภาษณ์เจ้าบ่าว-เจ้าสาวตามระเบียบ เราถึงรู้ว่า มันเริ่มมาจากฝ่ายชายโทรไปหาฝ่ายหญิง แต่ไม่เจอ และเพราะพี่ยู้ไม่ได้เมมเบอร์เจ้าบ่าวไว้ (อ้าว ก็คนมันไม่สนิทกันหนิ) ก็เลยไม่ได้โทรกลับ จนพี่แป๋มทนไม่ได้ ต้องโทรไปบอกใบ้ให้พี่ยู้โทรกลับเบอร์ Missed Call เขาถึงได้มี First Date กัน และมีวันนี้ในที่สุด เราเลยท่องจำไว้ทันที ต่อไปเราจะโทรกลับทุกเบอร์ Missed call!!!

พอใกล้เลิกงานเลี้ยง ต๊ะโทรมาหาเราอีกที เพราะเขาบังเอิญจอดรถไว้ที่ร้านอาหารร้านอาหารนี้พอดี เลยได้เจอกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปี ต๊ะเอาหนังสือที่เด็กถาปัดฯ ทำขายมาให้ เลยได้คุยกันแป๊ปนึง แต่ก่อนที่เราจะวิ่งไปหาต๊ะ เราต้องบอกพี่แป๋ม-แม่งานก่อนว่า ที่เรามีชายหนุ่มมาหา มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ นะ อย่าได้คิดมากไป แต่พอเห็นสายตายิ้มๆ ของพี่แป๋ม เราเลยต้องปิดดิวโดยการบอกว่า “เอ่อพี่คะ เขาเป็นเกย์ค่ะ” เลยเป็นอันละครอวสานทันที เฮ้อ... โล่งอก...

Sunday, May 18, 2008

ที่พึ่ง?

วันก่อนหมูบอกว่า หมูไปไหว้พระที่ศาลเจ้ากวนอูแถวเยาวราชด้วยความบังเอิญ และคนที่ดูแลศาลเจ้าฯ บอกว่า ถ้าใครเช่าเทพเจ้ากวนอูไปบูชา จะได้แต่งงานภายใน ๗ เดือน วันนี้เรารีบชวนหมูไปทันที แม้ว่าป้าๆ จะแซวว่า อย่าไปทำลายความขลังของศาลเจ้าเขาเลย อีกหน่อยเขาคงขึ้นรูปเราตามวัดวาอารามและศาลเจ้าว่าเป็นบุคคลอันตราย ห้ามเข้าเด็ดขาด (แหม ทำประหนึ่งอิชั้นเป็นอาชญากรวัดงั้นแหละ) อีกอย่าง ท่านกวนอูเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามนะ ไม่แน่จะมาเกี่ยวกับความรักได้ แต่เราก็ไม่นำพา ชวนหมูไปจนได้ แหม… ถ้าได้แต่งงานจริง จะแบ่งค่าสินสอดให้หมูทีเดียวเชียวในฐานะผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ

แต่ไปเริ่มที่วัดไตรมิตรก่อน เพราะเราดูรายการศึก ๑๒ ราศีเมื่อต้นปี หมอลักษณ์บอกว่า คนเกิดราศีเราปีนี้ควรไปไหว้พระที่วัดไตรมิตรถึงจะรุ่งๆ และวัดนี้ก็เป็นวัดทางผ่านซะด้วย เลยแวะไหว้กันก่อน ในโบสถ์มีพระมารดน้ำมนต์ด้วย ในขณะที่เรากับหมูกำลังลังเลใจกันว่าจะไปต่อคิวรดน้ำมนต์ดีไม๊ เราก็ได้ยินเสียงจ๊อกแจ๊กพร้อมกับกลิ่นไม่พึงประสงค์อันคุ้นเคย ทันใดนั้นก็มีคนอินเดียกลุ่มใหญ่ฮือเข้ามายืนข้างหน้าเรากับพระ เราเลยตัดสินใจใส่เงินทำบุญลงกล่องโดยไม่รอรดน้ำมนต์แล้ว โอ๊ย… รอไม่ไหวละค๊า ขอตัวก่อนนะคะ

ตอนเดินออกมาหมูชี้ให้ดูโบสถ์อันใหม่ของวัดที่กำลังสร้างอยู่แล้วก็บ่นว่า ดูดิ สร้างซะสูงชันขนาดนี้ คนแก่ที่ไหนจะขึ้นไหว ไม่รู้จะทำลิฟต์อำนวยความสะดวกรึป่าวเนี่ย นั่นดิเราก็ว่า ทำไมสร้างวัดเอาแต่ความสวย-อลังการ แต่ไม่ได้คำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายเล๊ย… คุณปู่-คุณย่าเขาจะขึ้นไปไหว้กันยังงัยละเนี่ย เฮ้อ…

คราวนี้ไปถึงศาลเจ้ากวนอูล่ะ พอเราตกลงจะเช่ามาบูชา คนดูแลศาลก็บอกว่า "ขอให้ท่านดลให้แม่สื่อติดต่อมาภายใน ๗ เดือนนะครับ" เราฟังแล้วชะงักหันไปมองหน้าหมูทันที แล้วกระซิบเสียงเย็นๆว่า "ไหนแกบอกว่าจะได้แต่งงานภายใน ๗ เดือนฟระ จริงๆ คือ จะมีแม่สื่อเข้ามาในชีวิตภายใน ๗ เดือน ตะหาก ซึ่งอย่างหลังเนี่ย ชั้นก็มีแม่สื่อมาเรื่อยๆ อยู่แล้วนะ อ้อ แต่ หห. นี่ไม่นับเป็นแม่สื่อนะ" หมูก็หัวเราะเขินๆ แต่ไหนๆ ก็มาแล้วด้วยแรงศรัทธา เราเลยยังเช่าท่านกวนอูมาบูชาอยู่ดี แต่ก็ให้นึกในใจว่า หรือเราจะใช้เงินแก้ปัญหาอย่างที่นกมันแนะนำดีฟระ ๕,๐๐๐ บาท ได้ตั้ง ๓ เดท แน่ะ!

พอส่งหมูขึ้นรถไฟฟ้าเสร็จ เราถึงเห็นว่า หมูลืมร่ม (ของเรา) ไว้ในรถเรา เรานึกในใจว่า ไม่ใช่ร่มไม่ยอมจากหมูไปไหนหรอก จริงๆ แล้ว ร่มไม่ยอมจากเราไปไหนตะหาก อิอิอิ…

Saturday, May 17, 2008

ดูคนผิด?

เมื่อวานเราแอบเห็น ตาปส. เรียกพี่น้ำพริกอ่องมาคุยเรื่อง V.O. งานปรับปรุงดิน พอเราเดินเข้าไปร่วมวง เฮียก็เก็บเอกสารไปไม่ให้เราเห็น (แต่เราก็ยังอุตส่าห์เห็น) เราเลยทะแม่งๆ ในใจ เพราะ V.O. ตัวนี้ ตาปส. ค้านหัวชนฝาเลยว่า ไม่ใช่ V.O. เราเลยส่งเรื่องไปให้ดูว่า ช่วย Comment เฉพาะปริมาณงานก็พอ ส่วนจะใช่ V.O. หรือไม่ เราจะคุยกับ QS กับ Owner เอง วันนี้เราเลยโทรไปถามพี่อองวินว่า คุณ ปส. เขาคอมเม้นท์อะไรเป็นพิเศษไม๊ พี่อองวินบอกว่าไม่มี เขาแค่ให้ส่งรูปถ่ายประกอบเพิ่มเติมเท่านั้น ทำเอาเรางงๆ ว่า ทำไมจู่ๆ เฮียเกิดเปลี่ยนใจฟระ พี่อองวินเลยถามเราใหญ่เลยว่ามีปัญหาอะไรเหรอ คราวนี้เราเลยซวยต้องแก้ตัวเป็นพัลวันแทน เฮ้อ… แล้วพี่อองวินก็ชมว่า เราขยันมาก มาทำงานวันเสาร์ตลอด เราเลยแซวว่า เขาก็มาทำวันเสาร์เหมือนกัน น่าจะไปเที่ยวกับลูกมากกว่านะ งานนี้เราถึงรู้ว่าพี่อองวินไม่มีลูก และตั้งใจไม่มีลูกด้วยอีกตะหาก พอดีแฟนเขามีลูกไม่ได้ เลยเป็นอันผลประโยชน์ลงตัว อะไรวะ พี่น้ำพริกอ่องดูออกจะเป็น Family man มากๆ ในสายตาเรา นี่อิชั้นมองผิดไปขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย… แย่จัง…

ช่างผิดกับคุณสุพจน์ที่ปกติเป็นคนยียวนกวนบาทาสุดฤทธิ์ ขนาดท่าเดินยังเดินกวนเท้าเหมือนพวกจิ๊กโก๋หน้าปากซอยยังงัยยังงั้น แต่แสนจะเป็นคนรักลูก Family man กว่าเป็นกอง เพราะเมียแกเขียนชมว่า ลูกติดพ่อมากกกกกกก คนเรามองกันที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ นะเนี่ย เรากำลังปลงๆ อยู่พอดี คุณสุพจน์ก็เดินมาแซวเราว่าให้กลับบ้านได้แล้ว อย่าทำงานจนเย็นเกินไป เราเลยพูดกลับบ้างว่า งั้นคุณสุพจน์ก็ควรรีบกลับบ้านไปหาลูกเหมือนกัน เพราะนี่เป็นวันเสาร์ และลูกออกจะติดพ่อนิ แต่แกตอบเราว่า "ยังกลับไม่ได้ครับ เพราะลูกยังไม่กลับบ้าน" เราก็พาซื่อชมว่า "แหม… คุณพ่อก็ติดลูกเหมือนกันนะเนี่ย ต่างคนต่างติดซึ่งกันและกันเหรอค่ะ" คุณสุพจน์ทำหน้าตายตอบว่า "ไม่ใช่ครับ ผมต้องรอให้ลูกกลับบ้านก่อนผมถึงจะเข้าบ้านได้ เพราะที่บ้านผมใช้ประตูแบบ “ลูกบิด” ครับ" ทำเอาอึ้งไปทั้งห้อง แป๊ปนึงเอ๋ก็ขำก๊ากออกมา แล้วทำท่าเปิดประตูพร้อมกับพูดว่า "ลูกกกกกบิดดดดดด" คราวนี้เลยได้ฮาพร้อมกันห้องแทบระเบิด ๕๕๕… ทำเอาเราอดสงสัยไม่ได้ว่า เมียแกเคยไล่แกทันบ้างป่าววะ ๕๕๕….

ว่าแล้วเราก็เลิกงานเร็วตามที่คุณสุพจน์บอก แต่เป็นเพราะเรามีนัดไปอัดรายการกับหงษ์ตะหาก พอเช็คไฟล์หงษ์ก็อุทานว่า "เฮ้ยยยยย" แล้วเลยแซวว่า คนอื่นเขาส่งเทปฉลอง “ช่างคุย” ครบ ๒ ปีกัน ส่วนรายการ "เรื่องบ้านบ้าน" ของเราส่งเทปฉลองที่หายหน้าไปครบ 1 ปี! ว้า... แย่แล้วๆ ต้องขยันหน่อยแล้ววุ๊ เดี๋ยวจะโดนถอดออกจากผังรายการ ฮือๆๆ

Thursday, May 15, 2008

วงการนี้มันแคบจริงๆ

วันก่อนโน้นเราไปกินข้าวกับพี่ณัฐแล้วพอดีคุณ ชช. โทรเข้ามา เราเลยได้ฟังบทสนทนาแบบไม่ตั้งใจ จำความได้เลาๆ ว่า ไอ้หนุ่ยมีกิ๊ก เราเลยถามให้แน่ใจ ฟังผิดไปเดี๋ยว(ไอ้หนุ่ย)จะซวย พี่ณัฐเลยต้องคายออกมาว่า ไอ้หนุ่ยมีกิ๊กจริงๆ นั่นแหละ แถมเมียยังโทรมาเล่าให้คุณน้องเลขาฝ่ายของบริษัทมันฟังอีกตะหาก เราฟังแล้วอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจ เพราะไอ้หนุ่ยมันก็ดูเจ้าชู้อยู่ คราวนี้พี่ณัฐชักมัน เล่าเรื่องพี่วิลมีกิ๊กแถมให้อีกตะหาก แต่เราบอกเขาไปว่า เราไม่เชื่อเด็ดขาดว่า วิลสันผู้ซึ่งไม่เคยมีปฏิสัมพัทธ์กับใครเลยยกเว้นเรื่องงาน จะไปมีกิ๊กได้ ถ้าพี่วิลฯ มี ผู้ชายทั้งโลกก็มี แต่พี่ณัฐพูดกลับแล้วทำให้เราชักลังเลใจว่า "ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่มีหรือไม่มีนะ มันอยู่ที่รู้หรือไม่รู้ตะหาก" เราฟังแล้วเหวอไปเลย… โห… พูดแบบนี้เข้าทางป้าๆ ชัดๆว่า คานทองน่าอยู่กว่าเป็นไหนๆ เฮอะ…

แต่วันนี้ในห้องประชุม พี่วิลฯ ปล่อยมุขตลอด รับกันแทบไม่ทัน อารมณ์ดีอะไรจะปานนั้น แถมที่สำคัญ ความรู้ภาษาไทยพัฒนาไปมาก เราชักเชื่อแล้วดิว่า พี่วิลฯ มีกิ๊ก แต่พี่ณัฐบอกว่า พี่วิลฯ คงเริ่มคุ้นกับพวกเราแล้ว และโปรเจ็คมันก็เข้าที่เข้าทางมากขึ้น จนเขาคงรู้สึก Relax มากขึ้น เลยกล้าปล่อยมุข แต่เราก็ชักเอนเอียงแล้วล่ะว่า พี่วิลฯ อาจจมีกิ๊กจริง

ค่ำๆ เราโทรไปหานก (น้อง Interior) ตามที่มันมา sms มาบอก เพราะมันมีปัญหาในการทำงานมาก ต้องการที่ปรึกษาด่วน เราถึงรู้ว่า นกมีปัญหากับ Interior Designer ของบริษัท A อยู่ เฮดที่มาดิวด้วยชื่อ สทช. เราก็ขำก๊ากเลย แหม… ที่แท้เป็นตาต๊ะนี่เอง เลยแซวว่า นามสกุล บช. ด้วยปะ ไอ้นกกรี๊ดใหญ่เลย แหมโว๊ย วงการนี้มันแคบจริงๆ เราเลยอำนกไปว่า เราเคยเป็นกิ๊กกับต๊ะ แต่ตอนหลังต๊ะรู้ตัวว่าไม่ชอบชะนีเลยเลิกกับเราไปคบผู้ชาย นกเชื่อใหญ่เลย ๕๕๕… แล้วเลยเกรงใจไม่กล้าบ่นกิ๊กเรา แก้ตัวไปว่า ปกติไม่ค่อยได้ดิวกับต๊ะหรอก เพราะต๊ะใหญ่มากแล้ว นกจะดิวกับลูกน้องต๊ะมากกว่า แถมตั้งฉายาให้เสสร็จสรรพว่า "ทายาทอสูร" อีกตะหาก เราเลยบอกว่า "งั้นแกลองคิดดูดิว่า ตัวพ่อมันจะขนาดไหน ๕๕๕ แต่เดี๋ยวพี่จะช่วยคุยให้พ่อมันช่วยปรามทายาทอสูรก็แล้วกันนะ" คราวนี้นกเลยพร่างพรูไม่หยุดว่า โดนคอนซัลท์เจ้าหลักกลั่นแกล้งอีกตะหาก ไม่ให้กินน้ำของโครงการ ทุกวันนี้ต้องซื้อน้ำมากินเอง เราเลยแซวว่า "แล้วเขางดให้อาหารด้วยปะ ๕๕๕" เท่านั้นยังไม่พอ เขาไม่ให้แม่บ้านมาทำความสะอาดออฟฟิสมันด้วย มันต้องกวาดพื้นเอง โห… น่าสงสารแฮะ แต่มันก็กำลังใจดีบอกว่า "แต่หนูจะได้ผู้รับเหมาแล้ว เหตุการณ์คงจะดีขึ้น" แล้วเลยถามเราเรื่องเทคนิคการตรวจ Shop Drawing พอเราบอกว่า เราไม่สามารถแนะนำได้ เพราะเราไม่เคยตรวจ Shop เรามีเด็กๆ (อย่างตา ปส.) ตรวจให้ มันก็อุทานว่า "โห… แสดงว่าเจ๊ใหญ่มากเลยในไซท์ดิ" คราวนี้เราเลยต้องแก้ตัวพัลวันว่า ใหญ่บ้าอะไรวะ เจ๊น่ะเป็นอีเย็น ๑ เชียวนะ เฮ้อ… ความแตกเลยว่า เจ๊หญ่ายม่ายจริง เหอๆๆ…

Wednesday, May 14, 2008

มารยาทในการทำงาน

วันเสาร์ก่อนเราเรียกตา ปส. มาคุยเรื่องการ Circulation เอกสารที่ตัวมันเองเป็นคนเซท ซึ่งมันเป็นคนขอเปลี่ยนจากเดิมที่เราเซท เราก็โอเคยอมให้ เพราะถือว่าเป็นการ Accommodate ผู้ร่วมงาน แต่ไม่รู้มันสมองเสื่อมหรืออะไร จู่ๆ ก็มาเรียกเลขาฯ เราไปต่อว่า ว่าทำผิดโพรเซส เราเลยต้องเรียกมันว่าระลึกความหลัง พอมันจำได้แล้วว่า มันเป็นคนขอเปลี่ยนโพรเซส ก็ดั๊นไปโยนความผิดให้เลขาฯ มันว่า ไปแอบเปลี่ยนโพรเซสเอง แหม… ท่านเจ้าคุณค่ะ อีเย็น ๒ เอ๊ย ไอ้หนุ่มมันคงกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของท่านเจ้าคุณหรอกค่ะ เฮียเลยหมดทางไป สุดท้ายหันมาต่อว่าเราที่เราไม่มีท่าทีเป็นมิตรสนิทสนมชิดเชื้อกับเฮียเลยซักกะนิด เราเลยพูดว่า "ผู้ร่วมงานกับเพื่อนไม่เหมือนกันนะคะ เราต้องทำงานกับแบบ Professional ค่ะ" เลยเป็นอันจบบทสนทนากัน แต่เฮียคงอารมณ์ค้าง เลยวีนแตกไปทั้งไซท์ ทำผู้รับเหมากระเจิดกระเจิงหมด ส่วนเราโดนป้าๆ ด่ากันใหญ่ว่าบ้าไปแล้ว เอถึงกับบอกว่า "หนิงใจร้ายวะ" เฮ้ย…. จริงเหรอ…

ตามมาด้วยเมื่อวันก่อน พี่ณัฐอยากจะขอดูภาพจากกล้องทุกตัวของฤทธา ตาช่างโอ๋บอกว่า "อย่าดูทุกกล้องเลยครับ ดูแต่กล้องที่ไซท์งานก็พอ เพราะกล้องในออฟฟิสจะส่องแต่หน้าผม คุณณัฐดู ก็จะเห็นแต่ภาพผมนั่งยิ้มอยู่" เราก็ปากไวพูดว่า “อย่างนั้นก็ไม่ค่อยน่าดูอย่างที่พูดจริงๆ นะคะ” แล้วก็หันมาพยักเพยิกกับคุณ ชช. จนเขาต้องสะกิดๆ แล้วพูดว่า “ปากจัดวะ” เราถึงรู้ตัวยอมสงบปากคำ

ก่อนกลับบ้านวันนี้เราเลยต้องแวะร้านหนังสือ เพราะเราคิดว่าเราจำเป็นต้องพึ่งหนังสือเล่มนี้แล้ววะ ก่อนที่จะกลายเป็นคนไร้มารยาทที่สุดในไซท์นี้ หนังสือเล่มที่ว่านี้ชื่อว่า "มารยาทในการทำงาน" แปลมาจากญี่ปุ่น งานนี้เราเลยเข้าใจแล้วว่า ทำไมมันถึงติดอันดับหนังสือขายดี เพราะคนมีมารยาทมันมีจำนวนน้อยนี่เอง ๕๕๕…

Saturday, May 3, 2008

ยุคข้าวยากหมากแพง

หมู่นี้เราได้ยินคนบ่นว่าข้าวของแพงขึ้น เพราะน้ำมันแพง แต่เราก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะป้าหน้าไซท์เราแกยังให้กับข้าวเราเยอะแยะเหมือนเดิม แถมยังแถมโน่นแถมนี่อยู่เรื่อยๆ เหมือนเดิม แต่วันนี้เรากลับบ้าน พอเห็นว่าข้าวในหม้อไม่ใช่ข้าวหอมมะลิ เราถึงกับร้องจ๊ากแล้วถามหมะว่า บ้านเราต้องประหยัดกันขนาดนี้เลยเหรอ แถมหุงแฉะๆ อีกตะหาก สงสัยเพราะใช่ข้าวถูก หมะแก้ตัวพัลวันว่า ไม่ใช่ที่บ้านไม่มีเงิน แต่ร้านข้าวสารเจ้าประจำเขาไม่มีข้าวหอมมะลิขาย เลยต้องกินข้าวแบบนี้ และที่หุงแฉะนี่เป็นการตั้งใจ เพราะเหวินเฉียงจะได้กินข้าวได้ง่ายๆ แหมโว๊ย… เอาใจหลายชายจริงๆ ปู่กับป้ามันเลยต้องทนกินข้าวแฉะไปด้วย

พอบ่ายแจ้มาแกะกล่องของฝากที่ให้เราช่วยหิ้วกลับมา (ของคุณพี่น้ำหนักเกินจนโดนปรับ เราเลยต้องหิ้วมาให้แทน เพราะปกติเราก็ไม่ได้โหลดของอยู่แล้ว) เหวินเฉียงมันก็เข้ามามุงด้วยทันที เราเลยได้ทีแก้แค้นใช้แรงงานเด็กซะเลย เพราะหมะนั่งห่างเราไปพอสมควร แล้วอยากเห็นของ เราเลยเอาถุงพุทธาแห้งให้มันแล้วบอกว่า "เหวินเฉียงเอาไปให้ผอผอดูนะ" มันรับถุงไปแล้ว ชะงักไปนิดนึง แต่ก็พยายามกระหย่องกระแหย่งยกไปให้หมะจนได้ แล้วก็นั่งตักหมะ ไม่มาหาเราอีกเลย เราเลยพลิกถุงพุทราดูถึงได้รู้ว่า ถุงนึงหนักตั้ง ๑.๕ กก. แน่ะ มิน่าล่ะ ไอ้เหวินเฉียงเลิกเลย ๕๕๕…

ตกเย็นหมะพาเด็กๆ ไปเที่ยวสวนสาธารณะ ฟ้าให้เอารถจักรยานใหม่ขึ้นรถปิคอัพไปฉลองรถด้วย ที่สวนฯ คนเยอะมาก ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่า เรายังอยู่ในภาวะบ้านเมืองไม่สงบ เดี๋ยวนี้มีคนทำธุรกิจระบายสีตุ๊กตาปูนปาสเตอร์ด้วย มุกเลยแยกตัวไประบายสีกับแจ้ ส่วนเราวิ่งรอกไปมาระหว่าง ๒ คุณหลานสาว เดี๋ยวให้เวลาไม่เท่ากัน จะมีการน้อยใจกันได้ กำลังเล่นกันเพลินๆ ก็มีคนมาสวัสดีหมะ เราว่าหน้าคุ้นๆ แต่พอเทียนเรียกชื่อเขา เราก็จำได้เลย โห… พี่โจ้เปลี่ยนไปเยอะมากๆ เลยนะเนี่ย (เขาก็พาลูกสาวมาเที่ยวสวนฯ) พอพี่โจ้เดินเลยไป เทียนก็พูดว่า "ดีนะเนี่ยที่ตอนนั้นหมะไม่ยกแจ้ให้พี่โจ้ ไม่งั้นตอนนี้ใครๆ คงนึกว่าแจ้มาเที่ยวสวนกับพ่อ" เราฟังแล้วอึ้งไปเลย ที่เขาว่ากันว่า อย่าไปคว้าดอกไม้ปลายสวน ที่แท้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง แต่เราว่า ถ้ามาขอตอนนี้ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ เพราะผีวิญญาณแม่เราแรงมั่กๆ ฮ้า…

ขาไปมีเรานั่งท้ายปิคอัพกับฟ้า (เพราะชีเห่อจักรยาน) ขากลับเด็กน้อย 3 คน นั่งท้ายปิคอัพหมด แล้วเล่นอ้าปากกินลมสนุกกันใหญ่ โดยมีเราเป็นหัวหน้าแกงค์ แหม… ลูกทุ่งจริงๆ เลยหลานชั้น… หุหุหุ….