Thursday, February 28, 2008

กล่างเปิดงาน

เนื่องจากที่ปรึกษาของฤทธาซึ่งอาจารย์ที่จุฬาฯ ขอพา นศ. ปริญญาโทคนลาวและไทยประมาณ ๒๐ คน มาดูงาน Foundation ของโครงการ พี่ณัฐเลยย้ำกับเรา ๕๐๐ รอบว่า ให้เช็คไซท์ให้เรียบร้อย ห้ามให้มีอุบัติเหตุเด็ดขาด เพราะจะเสียชื่อมาก เราเลยเดินไซท์ไป ๒ รอบในตอนเช้า พอได้เวลาบ่ายๆ เราก็โผล่หน้าไปอีกรอบเพื่อดูความเรียบร้อย ปรากฎว่า ชาวคณะมาถึงกันแล้ว ทุกคนยืนตั้งแถวอยู่ แล้วเราก็เห็นว่าตาประเสริฐหน้าตาดีใจมากที่เห็นเรา พอเดินไปถึง ทั้งอาจารย์ทั้งตาประเสริฐก็ถามหาพี่ณัฐกันใหญ่บอกว่า จะให้มากล่าวเปิดงาน เราก็อึ้งไปนิดนึง "เอ่อ… อาจารย์ค่ะ คุณณัฐพลติดธุระด่วน วันนี้ไม่เข้าแล้วค่ะ" เราเลยให้คุณสุพจน์กล่าวแทน แต่ประเสริฐบอกว่า "พี่สุพจน์ก็ไม่เข้าครับ" ฮ้า… เราเลยบอกให้อาจารย์กล่าว แกก็ยืนยันว่าไม่ได้ ต้องให้เจ้าของสถานที่กล่าว แล้วก็ยื่นโทรโข่งมา เราเลยต้องรับมา ขืนยื้ออีก เดี๋ยวจะโดน นศ. รุมตื๊บ เพราะยืนตากแดดมาพักนึงแล้ว พอเรายกโทรโข่งขึ้นอ้าปากจะพูด ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เลยหันไปถามอาจารย์ว่า "เอ่อ จะต้องพูดเป็นภาษาอังกฤษหรือป่าวคะ ภาษาไทยได้ไม๊คะ" แกก็หัวเราะบอกว่า ได้ๆ คนลาวฟังภาษาไทยออก เฮ้อ… รอดตัวไป นี่ถ้าต้องคิดสดเป็นภาษาอังกฤษอีก ไม่รู้เขาจะฟังกันออกหรือป่าว ยิ่งตื่นเต้นๆ อยู่ด้วย

ป.ล. ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ไม่มีอุบัติเหตุใดๆ Anyway ไม่มาจะดีกว่านะคะ เฮ้อ…

Monday, February 25, 2008

โมโห

พอเครื่องลงเราก็ไม่รีบร้อน เพราะผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง เราคงคิวที่ Immigration ไม่นาน ที่ไหนได้ พอเราแบกโน๊ตบุ๊คหนักโคตรของเรามาถึง Immigration ซึ่งมีคิวยาวมากๆ เรากะแหวกฝรั่งไปช่องคนไทย ก็มี จนท. มาบอกว่า ให้เดินไป Immigration ถัดไป เราก็เดินไปจนถึงช่องนั้น ก็มี จนท. เดินมาบอกว่า "ปิดค่ะ ตรงนี้เฉพาะลูกเรือ ให้เดินกลับไปที่เดิม" คราวนี้ป้าปรี๊ดเลย ทำงี้ได้งัยวะ ไม่ยอมโว๊ย เราเลยตะโกนคุยกับคุณเธอ (ที่ต้องตะโกนเพราะเธอยืนอยู่หลังเส้นไม่ยอมออกมา) คราวนี้ฝรั่งที่เดินตามมายืนงงกันหมด แล้วก็เริ่มบ่นๆ กว่าเราจะพูดกับคุณเธอให้เข้าใจ และให้เธอลุกจากโต๊ะไปจัดการเรื่องนี้ ก็มีคนก็มาคิวเต็มไปหมด เพราะฟังไม่รู้เรื่องและคิดว่า Immigration จะเปิดทำการในไม่ช้า (ให้ตายเหอะ โทรศัพท์ภายในก็ไม่มี Walky-Talky ก็ไม่มี สุวรรณภูมิของอิชั้นช่างทันสมัยจริงๆ) แล้วเลยต้องรอกันอีกพักนึง ถึงมี จนท. มาบอกว่า ให้เดินไป Immigration อันถัดไปอีก โห… คราวนี้บางคนก็เดินกลับ แต่เราว่าก็ไหนๆ ล่ะ เลยเดินต่อไป มันคงไม่เจอสภาพเดิมอีกหรอก

พอไปถีง Immigration ก็เปิดทำการเป็น ๑๐ ช่อง ใช้เวลา ๒ นาทีก็เสร็จ (หลังจากเคลียร์กับ จนท. คนตะกี้ไปว่า ๑๐ นาที) พอผ่านมาได้ เราถึงเห็นว่า เราอยู่ต้องสายพานที่ ๒๐ และนึกในใจว่า ดูซิว่า กระเป๋ากรูจะอยู่สายพานที่ ๑ ไม๊ ปรากฎว่าเราได้สายพาน ๗ แต่พอเดินไปถึง ก็เห็นว่ามันสุดทางแล้ว เลยคิดว่าสายพาน ๑-๖ คงเป็นของในประเทศวะ และถึงเห็นอีกว่า สายพาน ๗ นี่มันอยู่ตรงกับ Immigration อันแรกเลย โฮ… ไม่พลาดเลยจริงๆ…

เราไปทำงานแบบง่วงๆ เพราะไม่ได้นอนมากว่า ๒๔ ชม. แล้ว ดีที่เขาเลื่อนประชุมตอนบ่ายไปเป็นวันอื่น ไม่งั้นเราตายแน่ พี่ณัฐบอกว่า เจ็ทแลค เราว่าไม่ใช่นะ พอเลิกงาน ๖ โมง เราก็กลับบ้าน หลับเอาเป็นเอาตายทันที…

Sunday, February 24, 2008

London - Day IX

คุณน้องมาส่งเราถึง Earl's Court คราวนี้เช็คเรียบร้อย ไม่มีการซ่อม Underground ไม่ต้องเปลี่ยนรถให้ทุลักทุเล ความที่เรางก ไม่นั่ง Airport Link แต่เลือกนั่ง Underground ธรรมดา ซึ่งจอดทุกสถานี เลยทำเอาลุ้นๆ ว่าจะไปทันขึ้นเครื่องไม๊เนี่ย เพราะยังต้องไปเคลมภาษีอีก

พอถึง Heathrow ซึ่งเราต้องลากกระเป๋ามาอีกพักใหญ่ ก็เหลือเวลาอีก ๑ ชม. จะขึ้นเครื่อง เราเลยตัดสินใจเช็คอินเลย โดยไม่รอเคลมภาษีก่อน (แม้ว่าจะเสี่ยงโดน จนท. ขอตรวจของ) เพราะยังงัยอิชั้นต้องกลับบ้านให้ได้วันนี้ โชคดีที่ขากลับการบินไทยไม่มีคิวเลย พอเช็คอินเสร็จเราก็ไปเคลมภาษี ปรากฎว่ารอนานมากกกกกก เพราะมียายแม่ลูกไต้หวันคู่นึงซื้อของ ๑ คันรถ และเคลมเป็นเงินสด จนท. เลยต้องเช็คของนานมากกกกก เรานึกในใจ ถ้าเหลืออีกครึ่ง ชม. แล้วยังไม่ถึงคิว เราก็ต้องตัดใจแล้ว ปรากฎว่าเป็นเพราะคิวที่ยาวมากกกกกกกกก เขาเลยเปลี่ยนเพิ่มอีก ๑ Counter พอถึงคิวเรา จนท. เห็นเราติ๊กแบบขอคืนผ่านบัตรเครดิต และก็แค่ ๑๐ ปอนด์ ก็หยิบไปแสตมป์ ๑ ตึ้ง เป็นเสร็จพิธี ไม่มีเช็คอะไรเลย เร็วจนเรางงๆ ว่าเสร็จแล้วจริงรึเนี่ย พอมองหน้าเขา เขาก็นั่งยิ้มไม่พูดอะไร เราเลยวิ่งไปเข้า Immigration นึกในใจ เราก็มีโชคกะเขาเหมือนกันแฮะ

ผ่าน Immigration ด้วยความรวดเร็ว (ผิดกับขามา) เราก็เดินผ่าน Duty Free ด้วยความเร็วสูงสุด เพราะกลัวอดใจไม่ไหว เดี๋ยวจะซื้อของอีก พอมาถึงเกทก็ได้เวลาขึ้นเครื่องพอดี ขากลับคนน้อย เลยได้นั่งแบบที่เว้นที่กัน สบายหน่อย คราวนี้เราได้นั่งกับสาวฟิลิปปินส์ แต่เจ๊แกนั่งหลับตลอดทาง ส่วนเราหยิบ Sudoku ที่เอามาจาก นสพ. ที่เขาแจกที่ Underground ตลอด ๑ อาทิตย์ที่อยู่ลอนดอนมาเล่นอย่างเมามัน แล้วดู Michael Playton จบ ก็ถึงกรุงเทพฯ พอดี

ปล. ทำไมพี่จอร์จถึงแก่อย่างนี้วะ ถุงใต้ตานี่ชัดเชียว ก่อนมาดูเฮียใน Out of Sight (ในเคเบิลฯ) ยังหล่อโคตรๆ อยู่เลย โฮ… ไม่ย๊อม ไม่ยอม…

Saturday, February 23, 2008

London - Day VIII



วันนี้คุณน้องไม่มีเรียน และเนื่องจากเราจะกลับแล้ว เลยยอมตื่นไปดูเปลี่ยนทหารที่ Buckingham Palace กัน แต่คงเป็นเพราะเป็นมันไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวมั๊ง ขบวนมันเลยสั้นๆ ยังงัยชอบกล และเรา ๒ คน ก็มาสายด้วย เลยได้ดูแว่บเดียวพอให้ได้รสชาดมาเที่ยวลอนดอน เสร็จก็ไป Camden Market

Camden Market เป็นตลาดนัดออกแนวร็อคๆ มีพังค์ให้ดูด้วย แต่เราไม่กล้าถ่ายรูปกลัวโดนตบ และเนื่องจากมันไม่ใช่แนวของเรา ๒ คน เลยเดินเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว แล้วก็ไป Tate Modern กัน แต่ความที่ Tate แสดงภาพที่ Modern มากๆ เราเลยดูแล้วไม่อิน ดูแป๊ปเดียวก็เสร็จ เลยออกมาถ่ายรูปกันอีกรอบ แล้วก็ไปโซโหเพื่อไปกินที่ร้านจีนมารยาททรามร้านนั้น
และก็ไม่เสียชื่อร้าน เฮียไล่ให้เรากับคุณน้องนั่งเข้าไปข้างไหนมากๆ ทั้งๆ ที่ร้านก็ยังมีที่เหลือ พอเขาเดินกลับไป เราก็เขยิบมานั่งข้างนอกหน่อย เราก็นึกในใจว่า ถ้าเฮียมาไล่อีก เราจะขอเฮียนั่งโดยพูดเป็นภาษาจีน แต่พอเฮียเอาอาหารมาเสริฟ์ก็ไม่ได้ไล่ เราเลยไม่ได้ทดลองภาษาจีนที่นึกไว้ว่าจะพูดกับเขาว่าจะพูดกันรู้เรื่องไม๊ แล้วก็กลับบ้านไปเก็บของ โห… ไม่อยากกลับเลย…

Friday, February 22, 2008

London - Day VII






เราชั่งใจว่าระหว่างไปช้อปปิ้งที่ Outlet ที่ Bicester Village กับไปพระราชวังวินเซอร์ และไป Hampton Court Palace เราจะไปอันไหนดี อันแรกนี่ตัดออกได้ก่อน เพราะถ้าไปช้อปซะหมดตัว แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปทัสมาเนียวะ ยิ่งในหนังสือเรียก Outlet นี่ว่า "หมู่บ้านละลายทรัพย์" ด้วยแล้ว (ฟังดูน่ากลัวยิ่งว่าซอยละลายทรัพย์อีก นี่เล่นเป็นหมู่บ้านเลยเชียว...) อย่าไปดีกว่า เลยต้องมานั่งชั่งใจระหว่าง ๒ พระราชวัง สุดท้ายก็เลือกไป Hampton Court Palace เพราะในหนังสือบอกว่า พระราชวังนี้สวนสวย ในขณะที่พระราชวังวินเซอร์จะเน้นเรื่องเครื่องเรือน-ข้าวของเครื่องใช้ของกษัตริย์มากกว่า เราชอบสวนมากกว่า เลยเลือกไป Hampton Court

เริ่มจากไปขึ้นรถไฟที่ Waterloo คราวนี้เราไม่ได้เช็คเวลาแน่นอนเมื่อตอนที่ไป Stonehenge เพราะในหนังสือบอกว่า มีรถไฟออกทุก ๑๕-๓๐ นาที และนั่งไป ๔๕ นาทีก็ถึง ตอนที่เราคิวซื้อตั๋วอยู่ (ประมาณตรงกับ Platform ๒๐) เราก็เห็นว่า มีป้ายรถไฟที่จะไป Hampton Court ขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นเวลา และเราก็นึกในใจ ดวงดีๆ อย่างเรา ต้องได้ Platform ๑ แน่นอน และเป็นไปดังคาด พอซื้อตั๋วเสร็จ มันก็ขึ้น Platform และก็เป็น Platform ๒! และเหลือเวลาอีกไม่ถึง ๑๐ นาที เราเลยต้องสวมวิญญาณ ๑๐๐ เมตรหญิง ให้ตายเหอะ นี่อิชั้นยังต้องวิ่งไม่เลิกอีกเหรอเนี่ย พอขึ้นรถได้ นั่งยังไม่หายหอบ รถไฟก็ออก

จากสถานีรถไฟ มองไปก็เห็นพระราชวัง เดิน ๕ นาทีก็ถึง สะดวกดีจริงๆ และก็ไม่ผิดหวังที่มา เพราะเขามี Walky-Talky ให้ด้วย เลยเดินดูห้องต่างๆ อย่างสนุก แถมเขายังเล่าซะเห็นภาพ จนเราเกือบเผลอเข้าไปคุกเข่าและจูบมือพระราชาตามที่เขาบรรยายซะแล้ว เคลิ้มดีจริงๆ และที่สำคัญ สวนสวยมากกกกกกก มีใบไม้ด้วย ไม่โกร๋นอย่างที่ลานน้ำพุเจ้าหญิงไดอานา เราไปเล่นสวนกลด้วย ตอนแรกคิดว่าเล็กๆ เดินแป๊ปเดียวน่าจะออกมาได้ แต่พอเดินๆ เข้าไปไม่เห็นทางออกซะที แถมเจอเด็กหน้าเดิมๆ วิ่งสวนมา ๒-๓ ที เราก็ชักใจเสีย เลยถามเด็กที่วิ่งสวนมา เขาบอกว่าเขาวิ่งเล่น อ้าว เราเลยให้เด็กช่วยพาออก พอออกมาได้ ก็รู้สึกโล่งมากๆ เลยให้สงสัยว่า นอกจากกลัวความสูงแล้ว เรายังกลัวที่แคบๆ อีกด้วยรึเนี่ย แล้วก็เดินชมสวนอีกด้านนึงก่อนกลับ สรุปว่า เราให้ ๕ ดาวเลยสำหรับ Hampton Court Palace

เราลุ้นมากว่าจะกลับมาถึงลอนดอนให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตก เพราะเราอยากไป Hyde Park ถึงแม้ว่ามันจะเป็นต้นไม้โกร๋นๆ ก็เหอะ (ลุ้นยังกับแสงอาทิตย์สุดท้ายในเรื่อง I Am Legend ของพี่วิล สมิธ) แต่สุดท้ายก็มาไม่ทัน ได้แต่เกาะรั้ว Hyde Park เสียดายชะมัด หวังว่าจะมีโอกาสได้มาตอนหน้าร้อนบ้าง สาธุ! แล้วเลยเดินเล่นที่ Bond Street แวะดู Clarks อีกรอบ แหมโว้ย… คาใจจริงๆ ซื้อดีไม๊เนี่ย…กลับมาบ้านคุณน้องทำผัดหมี่ซั่วโชว์ เพราะพี่นกให้เราหิ้วมา แล้วเราบอกว่า จะเอามาทำไม คุณน้องไม่ขยันทำหรอก แต่พี่นกยืนยันว่าคุณน้องจะเอา เราเลยแซวว่า ต้องทำให้กินนะ ซึ่งคุณน้องก็คุยว่า ทำอร่อยกว่า Greyhound ซะอีก น้าน… ว่าเข้าไปนั่น รอจนจะกลับ เลยได้ฤกษ์ทำโชว์ อืม… ก็อร่อยใช้ได้นะ ; )

Thursday, February 21, 2008

London - Day VI




เที่ยวในลอนดอนซะหลายวัน ก็ได้ฤกษ์ออกนอกเมืองบ้าง เราตั้งใจไป Stonehenge เพราะมันเป็น ๑ ใน ๗ สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (ตั้งใจว่าชีวิตนี้จะเก็บให้ครบ ๗ อย่างเลยอ่ะ) แล้วเราก็ดันมาพลาดไม่ได้ไปตอนที่มาเรียน มาหนนี้เลยมุ่งมั่นมากว่า จะต้องไปให้ได้ คุณน้องลังเลใจอยู่เล็กน้อย เราเลยบอกว่า ไม่เป็นไร ไว้คุณน้องค่อยพาพี่นกไปก็แล้วกัน

เริ่มจากไปขึ้นรถไฟที่ Waterloo ไปลงที่ … (จำไม่ได้ซะล่ะ) แล้วต่อรถบัสไป Stonehenge แต่ความที่เราทำเป็นฉลาด พอลงจากรถไฟ เราเห็นป้ายบอกทางไป Information เราก็เลยก็ตรงไปที่ I ไปเรื่อย พอไปถึง I เขาก็บอกว่า จริงๆ เรารอขึ้นรถบัสที่สถานรถไฟได้เลย และที่สำคัญรถพึ่งจะออกไป ต้องรออีก ๑ ชม. อ้าว… เราเลยเดินเล่นในเมืองรอเวลา (จากที่ตอนแรกตั้งใจว่า ไปเที่ยว Stonehenge ก่อน แล้วค่อยมาเดินในเมืองตอนขากลับ)

ในรถบัสไป Stonehenge มีนักท่องเที่ยวเอเชีย ๓ คน (รวมเรา) เลยนั่งยิ้มๆ กันไป นั่งไปซัก ๓๐ นาทีก็ถึง ตอนที่ซื้อบัตรเข้า เขาจะแจก Walky-Talky ให้ ๑ เครื่อง มี ๕ ภาษาให้เลือก ภาษาเอเชียมีภาษาเดียว คือ ญี่ปุ่น เราเลยเลือกเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ พอเดินพ้นอุโมงค์ทางเข้าไป ก็จะเจอลาน Stonehenge เราว่ามันน่าทึ่งมากกกกกกกกก ที่ลานโล่งๆ แล้วจู่ๆ ก็มีหินก้อนใหญ่ๆ มาตั้งเรียงอยู่ แต่เสียดายที่เขากั้นเชือก เราเลยได้แต่เดินดูห่างๆ ไม่รู้ว่านานไปอีกหน่อย เขาจะทำให้มันอยู่ในร่ม เพื่อป้องกันความเสียหายรึป่าว

เครื่องจะบอกเป็นระยะๆ ว่าให้หยุดตรงไหน (ทำเป็นเบอร์ๆ ไว้) เราก็มองตามที่เขาบรรยาย ซึ่งเราชอบมากเลย เราว่ามันทำให้ดูสนุก แต่ความที่อากาศหนาวมาก และลมพัดแรงมากกกก เรางี้สั่นไปหมด นึกในใจว่า โอ๊ย… หรือว่าจะกลับไปซื้อเสื้อหนาวลดราคาดีวะ แต่ไหนๆ ก็ใส่เสื้อหนาวสีแดงผิดระเบียบมาซะค่อนทริปแล้ว ต้องสู้โว๊ย เราเลยเดินฟังแบบเร็วๆ จ้ำๆ กลับมาถึงทางออกแบบไม่รอฟังจนจบ หนาวจนทนไม่ไหวจริงๆ แล้วก็มาชะเง้อๆ เอาจากอุโมงค์ อืม… ไม่ผิดหวังที่มาจริงๆ

ตอนเราเดินอยู่รอบๆ Stonehenge ก็เห็นฝรั่งหลายคน พยายามจะถ่ายรูป Stonehenge จากด้านนอกรั้ว โดยการยื่นกล้องเข้ามาด้านใน จะได้ถ่ายแล้วไม่ติดตะแกรงเหล็ก เพราะไม่ยอมจ่ายค่าเข้า Stonehenge แหม... ฝรั่งก็ขี้เหนียวเหมือนกันนะเนี่ย...กลับจาก Stonehenge เราก็แวะไปร้าน Lillywhites อีกรอบเพื่อไปซื้อของให้เรียบร้อย แล้วก็ได้หมวกทีมชาติอังกฤษมาให้ตัวเอง ๑ ใบ โฮะๆๆ แล้วก็แวะซื้ออาหารจีนที่ร้านใน Soho กลับบ้านไปกินกลับคุณน้อง

Wednesday, February 20, 2008

London - Day V




วันนี้อากาศแย่มาก ฟ้าครึ้มมาเลย หนักกว่าเมื่อวานอีก เลยทำให้หนาวขึ้นไปอีก แต่เราก็ไปเที่ยวต่อ หุหุหุ… วันนี้ไปโซน Royal Albert Hall เพราะจะไปลานน้ำพุเจ้าหญิงไดอาน่า กับ Victoria & Albert Museum ซึ่งในหนังสือบอกว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ระหว่างทางไปลานน้ำพุฯ ก็ผ่าน Imperial College มีตึกกระจกที่เขาต่อเติม (เราว่าตอนนั้นมันไม่มีนะ) ดูสวยมาก คุณน้องกระหน่ำถ่ายรูปอีกหล่ะ ส่วนเราถ่ายมาฝากหมู ๒ รูป

พอไปถึงลานน้ำพุเจ้าหญิงไดอาน่า ปรากฎว่าไม่มีคนเลย และหนาวโคตรๆ เพราะมันเป็นที่โล่งๆ กับบ่อน้ำ ลมก็โชยใหญ่เลย หนาวจนเรากับคุณน้องต้องงัดถุงมือมาใส่ถึงจะถ่ายรูปกันได้ เลยแซวกันเองว่า เพราะหนาวอย่างนี้นี่เอง เลยไม่มีคนมา มีแต่คนบ้าอย่างเรา ๒ คน เท่านั้น พอผ่านไป ๑๐ นาที ก็มีนักท่องเที่ยวหัวดำบ้ามาอีก ๒ คน เฮ้อ… เป็นนักท่องเที่ยวนี่ไม่มีทางเลือกจริงๆ หนาวแค่ไหนก็ต้องสู้

แล้วก็รีบหลบหนาวเข้าไปที่ Victoria & Albert Museum ซึ่ง Section หมุนเวียน เป็นเรื่องวิวัฒนาการของเสื้อผ้า ทางเข้าเป็นชุดราตรียาวของเจ้าหญิงไดอาน่า เรากับคุณน้องเลยปรี่เข้าไปดู ปรากฎว่า โดยฝรั่งหลอก เพราะมีชุดของเจ้าหญิงฯ แค่ชุดเดียว ที่เหลือเป็นชุดของห้องเสื้อดังๆ แต่… แต่เป็นเสื้อยุค ๘๐ นะ เชยระเบิด เฮ้อ… คุณน้องเลยหนีไปเรียน ปล่อยให้เราดูเสื้อจนจบ แล้วก็ดูรูปปั้นต่างๆ อยู่แป๊ปนึง ก็เบื่อ เลยไปซื้อรองเท้าดีกว่า สุดท้ายก็ตัดสินใจเอา ดร. เพราะ Clarks เดี๋ยวรอซื้อที่เมืองไทยตอนเซลล์ก็ได้ เลยต้องไป Covent Garden อีกรอบ

ตอนเดินออกมาจากหน้า Museum เราเห็นตู้โทรศัพท์แบบตู้แดงอยู่ตู้นึง เลยเดินเฉียดเข้าไปดู เผื่อฟลุ๊ค และก็ฟลุ๊คจริงๆ ด้วย เพราะมีโปสการ์ดรูปโป๊วางอยู่เต็มไปหมด เรารีบหยิบมาอย่างละแผ่น โอ้… ในที่สุด… ภารกิจของอิชั้นก็สำเร็จ แต่ก็ให้ทะแม่งๆ ในใจว่า ทำไมมันไม่มีที่โซโห แต่ดันมามีที่หน้า Victoria & Albert Museum นี่อะนะ และที่น่าขำอีกอย่างก็คือ รูปแม่งเหมือนเดิมเลย… เพราะก่อนเรามาพี่ณัฐเอารูป ตย. ให้เราดู ซึ่งแกไปอังกฤษมาเกือบ ๑๐ ปีแล้ว ผ่านมา ๑๐ ปี มันยังใช่ Format เดิมเป๊ะ เปลี่ยนแค่หน้าตานางแบบที่ดูปัจจุบันมากขี้น และสคริ๊ปทันสมัยขึ้น คือ มีให้เลือกหลายเพศ ฮ้า…

พอไปถึงร้าน ดร.ฯ ตอนแรกเรานึกว่าจะได้คืนภาษีเยอะ เพราะ VAT ที่อังกฤษสูงถึง ๑๗.๕% แต่พอเขาหักค่าธรรมเนียมต่างๆ เสร็จ สุดท้ายเราจะได้เงินคืนแค่ ๑๐% เอง ก็ทำเอาเซ็งไปเล็กน้อย แต่ก็ยังเอาอยู่ดี ตอนซื้อให้นิจ เราลังเลเล็กน้อย เพราะแบบมัน "หญิง" พอสมควร เลยต้องถามพนักงานอีกทีว่า รุ่นนี้มีแบบนี้แบบเดียวจริงๆ นะ และพอเราลองรองเท้าเรา เราก็ยิ่งลังเลว่าทำไมนิจใส่ใหญ่กว่าเราเบอร์นึงฟระ แต่เราก็จดมาถูกนะ เพราะอ่านตั้ง ๒ รอบ พอเอามือถือขึ้นมากะจะ message ไปถาม ถึงเห็นว่าที่เมืองไทยตี ๑ แล้ว เลยตัดสินใจเอา เพราะถ้านิจไม่เอา เราก็ใส่เองก็แล้วกัน เพราะมันก็ดูดีอยู่เหมือนกัน

คราวนี้เรานัดกับคุณน้องที่ Harrods ซึ่งคุณน้องแซวว่า เนื่องจากห้างมันใหญ่มาก ให้เจอกันที่โซนถุง Harrods นะ เอาตรงถุงสีเขียวด้วย แถมย้ำว่า “ย้ำๆ เอาตรงสีเขียวนะคุณหนิง” เมื่อวานเราฟังแล้วก็ขำใหญ่ พอตอนนี้ถึงเข้าใจว่า ห้องขายถุงใหญ่มากกกกกกกกกกกกก และมีสารพัดสี กว่าจะเจอถุงสีเขียว เล่นเอาเหงื่อตก (ไม่เข้าใจมาจนถึงวันนี้เลยว่า ทำไมมันถึงเป็นสินค้าขายดีไปได้…) แถมยังต้องหิ้วถุงรองเท้าอีก ๒ ถุง เลยยิ่งพานหมดอารมณ์เดินหาห้องน้ำที่ในหนังสือบอกว่า ทาง Harrods ลงทุนตกแต่งไปถึง ๑ ล้านปอนด์ (โอ้ว… แม่เจ้า) พอเจอห้องน้ำที่ชั้นล่างปุ๊ป เราก็ปรี่ไปเข้าทันที ซึ่งมันเป็นห้องน้ำธรรมดามาก เสร็จแล้วคุณน้องถามเราว่าจะเดินหาห้องน้ำ ๑ ล้านปอนด์นั้นอีกไม๊ เราตอบว่า "ไม่เอาหล่ะ… เหนื่อย"

พอถึงบ้านเราก็เอารองเท้าออกมาโชว์ ปรากฎว่าคุณน้องชอบรองเท้านิจมากกว่า แล้วบ่นว่า ของเราดู "แมน" ไป อ้าว… กำลังงงๆ อยู่ เจ้าของบ้านของคุณน้องก็มาเคาะประตูเรียกให้ไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ (พี่เขาเป็นเชฟร้านอาหารไทย) แต่เราไม่กินเนื้อ เขาเลยทำก๋วยเตี๋ยวหมูให้กินเป็นพิเศษชามนึง ฮ้า… ดีจริงๆ เราเลยถือโอกาสขอสัมภาษณ์เขามาออกรายการ "ช่างคุย - Indies Kitchen" ซะเลย แต่แหม… ได้โอกาสทำงานให้หงษ์ทั้งที ก็ดันเป็นรายการชาวบ้านเสียนิ…

Tuesday, February 19, 2008

London - Day IV




ตื่นสายทุกวันเลย (มีความสุขจัง) วันนี้ก็สายอีกหล่ะ เลยไปดูเปลี่ยนทหารที่พระราชวังฯ ไม่ทันอีกหล่ะ คุณน้องแซวว่าเราเที่ยวขี้เกียจมาก นี่ถ้าที่พักไม่ฟรี สงสัยอิชั้นคงตะลุยเที่ยวตั้งแต่ ๘ โมงเช้า แล้วเลยหยิบหนังสือที่ซื้อมา มาเปิดๆ ดู แล้วให้สงสัยว่า อีตานี่คงตื่นตั้งแต่ตี ๕ เที่ยวจนถึงเที่ยงคืน มันถึงเที่ยวได้เยอะขนาดรูท ๒ วันของเราเท่ากับ ๑ วันของมัน เฮ้อ… เหนื่อยแทน

วันนี้ไป British Museum ระหว่างทางเจอไซท์ของโบวิส ซึ่งเป็นไซท์ที่เจ๋งมาก คือ มันรื้อซะเหลือแต่หน้ากากบ้าน (Façade) แล้วทำข้างในใหม่หมด เรากับคุณน้องถ่ายรูปกันใหญ่ ไม่ให้เสียแรงที่อยู่ในวงการก่อสร้าง แต่คุณน้องเดินได้แค่ห้องอียิปต์ ก็ต้องแยกไปเรียนแล้ว เหลือเรารอไกด์ทัวร์ (ฟรี) อยู่คนเดียว มาเที่ยวพิพิธภัณฑ์แบบนี้ มันต้องมีไกด์ถึงจะสนุก แล้วก็ไม่ผิดหวัง เขาเล่าสนุกดี และทำให้ดูสนุกด้วย เราตั้งใจฟังมาก เพราะจะได้เอาไปเล่าให้ป้าๆ ฟัง หรือเผื่อได้มาอีก จะได้เล่าให้คนที่มาด้วยฟัง

เสร็จจากห้องอียิปต์ เราก็ไปดูห้องกรีซ และห้องเอเชีย แล้วก็เลิก พอล่ะ วันนี้มีสาระมากพอล่ะ ไปถ่ายรูปที่ Trafalgar Square ดีกว่า พอไปถึงก็ให้งงๆ ว่า ทำไมตอนนั้นเรากับเอบ้าระห่ำปีนขึ้นไปถ่ายรูปบนสิงห์โตฟระ สูงโคตร แล้วก็เห็นเด็กวัยรุ่นพยายามปีนกันใหญ่ เออ สรุปว่ามันเป็นที่วัยแฮะ

คราวนี้ได้ใช้ประโยชน์จากหนังสือ เพราะเขาบอกว่าให้เดินไปเรื่อยๆ จะไปชน Downing Street แล้วจะได้ไปยืนถ่ายรูปที่หน้าบ้านเลขที่ ๑๐ แต่พอเราเดินไปถึง ปรากฎว่า เขาเอาประตูเหล็กมากั้นตั้งแต่หน้าถนน แถมมีตำรวจยืนเฝ้าด้วย เลยได้แต่ชะเง้อๆ ไม่กล้าถ่ายรูปอีกตะหาก กลัวเขาคิดว่าเราจะมาจารกรรม แต่ก็คิดว่าตรงนี้ก็มันก็น่าจะฮิตนะ เพราะก็มีฝรั่งมามุงหลายคนอยู่

เสร็จจากบ้านนายกฯ เราก็เห็น Big Ben อยู่ไหวๆ เลยเดินตรงไปอีกรอบ เพราะเมื่อวานเราดันเดินไปไม่ถึง West Minister Cathedral (Check Point ไม่ครบไม่ได้) แล้วเลยได้ถ่ายรูป London Eye จากอีกมุมนึง เออ… London Eye นี่มันเห็นได้จากทุกมุมเลยแฮะ และที่สำคัญนี่เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่า ลอนดอนไม่ใช่เมืองใหญ่ (น่าจะพอๆ กับโรม) และเล็กกว่ากรุงเทพฯ มาก เพราะมันเดินได้ทั่วถึงกันไปหมด ชอบอ่ะ... ชอบ...

แล้วก็กลับมาเจอคุณน้องที่ Top Shop สาขา Oxford Street เสียดายที่เรามาหน้าหนาว และหมดเทศกาลเซลล์แล้ว เลยไม่มีอะไรให้ซื้อ แต่ก็แอบๆ ไปเล็ง Clarks อยู่นิดหน่อย เอางัยดีวะ จะซื้อ ดร.ฯ ดี หรือ Clarks ดี…

Monday, February 18, 2008

London - Day III






อาศัยที่ยังมีแดด ต้องไปทำทัวร์ถ่ายรูปต่อ เมื่อวันเลียบแม่น้ำฝั่งล่าง (ของแผนที่) ไปแล้ว วันนี้เอาฝั่งบนบ้าง คราวนี้ไปเริ่มที่ Big Ben กับรัฐสภาฯ แล้วเดินข้ามสะพานกลับมาที่ London Eye แถวๆ นี้มีพวกตัวประหลาดเยอะ (ที่แต่งตัวมายืนแข็งๆ เป็นหุ่น แต่ถ้าหย่อนเงินลงกระป๋องปุ๊ป จะขยับตัวเป็นหุ่นยนต์ทันที) คุณน้องถ่ายรูปอยากเมามันส์ จนเราแซวว่า นี่จะไม่จ่ายค่าตัวเขาเลยรึงัย แต่ก็ยังถ่ายไม่เลิก

ตอนแรกว่าจะกินแมคแถวนั้นกัน แต่ปรากฎว่าคนเยอะมากๆ เลยเดินข้ามสะพาน Hungerford (ที่เราชอบจำสลับกับสะพาน Jubilee (หรือ Millennium Bridge วะ ไม่ค่อยแน่ใจซะล่ะ) เพราะเป็นสะพานคนเดินเหมือนกัน และมีสายเคเบิลโยงๆ คล้ายๆ กัน) มากินอีกด้านนึงของแม่น้ำ

ช่วงนี้แมคมีโปรโมชั่นซื้อกาแฟ ๑ แก้ว ได้สติกเกอร์ ๑ อัน (แปะไว้ที่แก้ว) สะสมสติกเกอร์ครบ ๖ อัน จะได้กาแฟฟรี ๑ แก้ว จนถึงวันนี้คุณน้องมีสติกเกอร์แล้ว ๔ อัน ตอนที่นั่งกินกันพวกเราแอบเห็นคุณลุงข้างๆ เขาไม่แกะสติกเกอร์ที่แก้ว พอกินเสร็จก็ทิ้งแก้วลงถัง เลยปรึกษากันใหญ่ว่าจะไปล้วงจากถังขยะดีไม๊ แต่พอดีเราทำซอสเลอะ เลยต้องเดินไปหยิบทิชชู่ ก็เลยถือโอกาสชะโงกดูถังขยะ เฮ้ย แก้วอยู่บนสุดเลย เราเลยหยิบขึ้นมา แต่พอหยิบขึ้นมาปรากฎว่า ไม่มีสติกเกอร์แล้ว ไม่รู้แกเปลี่ยนใจลอกออกตอนเอาไปทิ้ง หรือใครมาลอกออกไปก่อน แต่ในขณะที่เรายืนงงๆ อยู่นั้น ก็มีคุณป้าฝรั่งคนนึงมาสะกิดเราขอสติกเกอร์ เราเลยต้องยื่นแก้วให้ป้าดู แล้วก็นึกในใจว่า คุณป้าค่ะ ขนาดหนูลงทุนล้วงแก้วขึ้นมาจากถังขยะ ถ้ามันมีสติกเกอร์จริง คิดเหรอคะว่าหนูจะให้ป้า บ้าที่สุด เราเลยซื้อกาแฟ ๑ แก้ว แล้วยกสติกเกอร์ให้คุณน้องไป พอกินเสร็จคุณน้องก็แยกไปเรียน ส่วนเราเดินข้ามสะพานกลับมาขึ้น London Eye

อีกล่ะ เครื่องแบบ (เสื้อฝน) ของพนักงานเท่ห์มากเลย น่าเสียดายที่ไม่มีขาย พอเสร็จจาก London Eye แล้วยังมีเวลาเหลือ เพราะคิวไม่นาน เราเลยเข้า London Aquarium ที่อยู่ติดกัน

ปลาเปลออะไรใน London Aquarium เราว่าธรรมดามาก แถมยังไปเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม เลยมีบอร์ดเต็มไปหมด (แต่ปลาไม่ค่อยมี!) ที่เจ๋งสุด คือ Touch Pool เพราะ Aquarium ที่อื่นๆ จะเป็นแนวปลาดาวและพวกปลิงทะเล แต่ที่นี้เป็น ปลากระเบนค่ะ (ตัดหางเรียบร้อยแล้ว)!!! พอมันว่ายขึ้นมาที่ผิวน้ำ นักท่องเที่ยวก็แตะๆ ที่ผิวมัน เราว่านะ Singapore Aquarium เจ๋งกว่าเยอะอ่ะ เลยคิดในใจว่า ต้องลองกลับมาดู Siam Ocean World เปรียบเทียบซะแล้ว พอดูเสร็จก็ได้เวลามาเจอคุณน้อง ซึ่งต้องข้ามสะพาน Hungerford มาขึ้น Underground โอ๊ยเหนื่อย ข้าม ๓ รอบแล้วนะ หนาวก็หนาว

เรานัดคุณน้องที่ Leister Square เพราะจะมาซื้อของที่บรรดาฝ่ายชายเขาฝากซื้อ นั่นคือ ของเกี่ยวกับทีมฟุตบอล ในหนังสือบอกว่า ร้าน Lillywhites เจ๋ง (ถูก) สุด แต่ก็เล็งๆ ไว้ ยังไม่ได้ซื้อ เพราะราคามันเกินงบฯ เดี๋ยวกลับไปอีเมลล์ถามมันอีกรอบดีกว่า แล้วเลยเดินไปดูนาฬิกาสวิสฯ กัน แต่… แต่มันปิดซ่อม เฮ้ย อะไรวะ จะซ่อมอะไรกันนักหนาเนี่ย

ก่อนกลับบ้านเรากับคุณน้องตะลุยดูตู้โทรศัพท์หาโปสการ์ดรูปโป๊กัน (นายสั่งมา ซึ่งคุณน้องบ่นๆ ว่า นายเราโรคจิต แต่พอเราบอกว่า หนิงต้องทำเพื่อ "โบนัส" คุณน้องก็ช่วยหาใหญ่เลย) เพราะหามา ๒ วัน แล้วไม่เจอเลย คุณน้องเลยออกไอเดียว่า แถวโซโหน่าจะมี เพราะน่าจะเป็นแหล่งทำมาหากิน แต่ก็หาไม่เจอ เฮ้ย เริ่มเครียดแล้วนะ ต้องหาให้เจอให้ได้ เพราะโบนัสยังไม่ออก อิชั้นต้องเอาไปฝากนายให้ได้!
พอถึงบ้าน เราก็ลองเปิดเวบหาลิงค์ "จำเลยรัก" ที่เก๋ให้มา เดินได้ดูจำเลยรักตอนจบสมใจ ไม่ต้องรอกลับไปดูดีวีดีที่เมืองไทย ฮ่าๆๆ มีความสุขจัง ; )

Sunday, February 17, 2008

London - Day II






งานนี้เราซื้อหนังสือเที่ยวลอนดอนมาด้วย เผื่อไว้วันที่คุณน้องไม่ว่างไปเดินกับเรา เราจะได้เดินเองถูก เพราะในหนังสือบอกรูทเดินไว้ด้วย วันนี้อากาศดี (แดดดี แต่หนาวโคตร) เลยไปทัวร์ถ่ายรูปกันก่อน เริ่มที่ Tower of London ที่เดี๋ยวนี้เขาสร้างที่ขายตั๋วใหม่ เป็นตึกหน้าตาเก๋ๆ คุณน้องเลยตะลุยถ่ายรูปใหญ่ หันมาอีกที เห็นเรากำลังนั่งกิน Fish & Chips อยู่ เลยขำก๊าก ถ่ายรูปเก็บไว้ จะบอกว่า เดี๋ยวนี้ Fish & Chips เขาพัฒนาแล้วนะ นอกจากเกลือกับน้ำส้มสายชู ตอนนี้มีทาทาร์ซอส กับซอสมะเขือเทศ ให้เลือกด้วย พอกินเสร็จ เราถึงเห็นว่ามีร้านขนม Paul อยู่ใกล้ๆ ซึ่งในหนังสือแนะนำว่าอร่อยมาก เป็นที่ปลาบปลื้มของ นร. กอร์ดอนเบลอ เลยปรี่เข้าไป แต่หน้าตาขนมไม่น่ากินเลยอ่ะ สู้กัลปพฤกษ์ไม่ได้เลย เลยได้แต่มุงๆ แล้วจากไป

คราวนี้มาเริ่มทัวร์อย่างจริงจัง โดยการเดินข้าม London Bridge (ได้ถ่ายรูปกับตึกทรงไข่ ซึ่งคุณน้องบอกว่าเป็นของสถาปนิกชื่อดัง แหม… ไม่เสียทีที่มาเที่ยวกับ 'tect) แล้วก็เดินเลียบแม่น้ำเทมส์มาเรื่อยๆ ซึ่งการท่องเที่ยวอังกฤษทำป้ายบอกทาง บวกที่ท่องเที่ยวระหว่างทางเป็นระยะๆ ถ่ายรูปกันมันส์มาก จนมาถึง Tate Modern Museum แต่เนื่องจากเย็นแล้ว เลยไม่เข้ากัน แล้วก็เดินข้าม Jubilee Bridge (โดยมีคุณน้องอธิบายถึงการสร้างสรรค์สะพานคนเดินอันนี้ประกอบ) ตรงดิ่งมาถึงวิหาร St. Paul

เราชอบทางเดินเลียบแม่น้ำมากเลย ติดใจมาตั้งแต่ที่เวนิสแล้ว (แต่อันไหนเป็นเลียบทะเล โรแมนติกยิ่งกว่า) อารมณ์ประมาณว่าเดินเลียบแม่น้ำ ลมพัดหน่อยๆ (แต่ในความเป็นจริง หนาวโคตร แต่ก็ยังรู้สึกดีอยู่ดีอ่ะ) วิวสวยๆ สงบๆ เดินแล้วมีความสุข (นี่ขนาดแค่เดินกับเพื่อนนะ) เราอยากให้กรุงเทพฯ มีอย่างนี้บ้างจัง ไม่ต้องยาวเป็นกิโลๆ อย่างนี้ก็ได้ แค่ ๕๐๐-๘๐๐ เมตร ก็ดีมากๆ แล้ว

แต่พอมาถึง St. Paul ก็ได้แต่ชะเง้ออยู่หน้าประตูโบสถ์ เพราะวันนี้ทางโบสถ์มีงานพิธี เขาเลยให้เราชมอยู่ด้านนอก เราเลยนึกให้เปรียบเทียบกับวาติกัน จริงอยู่ที่ St. Paul จะดูยิ่งใหญ่ แต่วาติกันอลังการณ์งานสร้างกว่าเยอะ ก็เลยยืนดูกันแป๊ปนึง ก่อนที่เราเลยชวนคุณน้องไปต่อที่ Covent Garden เพราะอ่านมาจากหนังสือว่า มีร้านขายหอยแมงภู่เจ้าอร่อยบวกเบียร์รสผลไม้ ชื่อ Belgo อยู่ เราตั้งใจจะเลี้ยงขอบคุณคุณน้องที่ให้ที่พักฟรี แต่ก่อนไปกิน ก็ต้องเดินเล่นกันก่อน มีร้าน ดร. มาตินส์อยู่ด้วย ซึ่งคุณน้องบอกว่า ดูในเวบแล้ว ทั้งลอนดอนมีร้านนี้ร้านเดียว เราเลยเข้าไปเล็งๆ ไว้ก่อน แต่แหม… ๑๐ ปีนี่ไม่ค่อยมีพัฒนาการเลยนะคะ เข้าใจแล้วค่ะว่า เป็นรองเท้าหน้าตาคลาสสิกจริงๆ แล้วก็ไปกินข้าว (หอยแมลงภู่) กัน ปรากฎว่า ก็ไม่ผิดหวัง อร่อยจริงๆ ด้วย (เครื่องแบบคนเสริฟ์เท่มาก เป็นชุดดำยาวๆ คล้ายบาทหลวง เรางี้อยากขอถ่ายรูปมาก แต่กลัวคนเสริฟ์จะเข้าใจผิด เลยได้แต่ระงับใจไว้) แล้วเราก็สั่งเบียร์มะม่วง (ตามที่หนังสื่อแนะนำ) กับเบียร์ราสเบอรี่มาลองกินกัน ความที่เราไม่ได้กินแอลกอฮอร์มานานมากกกกก จิบไป ๒-๓ ที เราก็ทีอาการมึนๆ คุณน้องเลยต้องโซ้ยเบียร์คนเดียวให้หมด เพราะกลับบ้านไปเรามีภารกิจต้องทำ Minutes ส่งอีก แต่พอถึงบ้าน เรามึนหัวมากเลย เลยขอนอนก่อน แล้วคุณน้องก็ปลุกเราตอนตี ๑ ให้ลุกมาไถนา เอ๊ย ทำงาน ให้ตายเหอะ ช่างเป็นฮอลิเดย์ที่ลำบากดีแท้ เผา Minutes เสร็จตี ๔ เท่ากับที่เมืองไทย ๑๑ โมงเช้า รีบ email ไปทันที หวังว่าพี่ณัฐคงไม่ด่านะ เพราะก็ยังเป็นจันทร์เช้าอยู่ดี เฮ้อ…

Saturday, February 16, 2008

London - Day I




หลังจากฝ่าด่าน Immigration ที่มีคิวอันยาวเหยียดแล้ว เราก็ลุ้นๆ ว่าจะเข้าช่อง Declare รึป่าวดี สุดท้ายก็เดินเข้าช่องเขียวแบบเสี่ยงดวง (ที่ไม่ค่อยจะมี) แต่พอหันไปสบตาคุณ จนท. เราก็กลัวขึ้นมาทันที เลยทำเป็นพูดว่า เอ่อ อิชั้นไม่ค่อยแน่ใจนะคะว่า Instant Food เนี่ยต้อง Declare ด้วยไม๊ คุณ จนท. เลยให้เราเปิดกระป๋อง ตอนแรกชีจะยึดมาม่า ๓๐ ซองของเรา แต่ดันปล่อยผ่านน้ำพริกเผากับกระเทียวเจียว ก็โชคดีที่คุณหัวหน้าของชีเดินมาดู ฮีบอกเข้าประเทศได้หมด แต่ขอร้องละว่าทีหลังอย่าเอามาอีก เรารีบรับปากทันที เพราะลากกระเป๋า ๒๕ กก. บวกเป้ใส่โน๊ตบุ๊คอีก ๓ กก. ลงมาถึงสถานี Underground ก็เล่นเอาเราเหงื่อตกไปเล็กน้อย

ตอนเราซื้อ Oyster Card (ตั๋วรถใต้ดินแบบ Pre-paid) ก็ได้ยินประกาศซ่อม Underground สายที่เราจะนั่งซะด้วย แต่รายละเอียดฟังได้ไม่หมด พอซื้อตั๋วเสร็จเราก็ถาม จนท. ว่าสายนี้นั่งไป Earl's Court ได้ไม๊ เพราะเรานัดกับคุณน้องที่นั่น เขาก็บอกว่า "ได้ แต่ต้องไปเปลี่ยนรถที่สถานี…น่ะ" ในใจนึกว่า สถานีบ้าอะไรวะ ฟังไม่เห็นรู้เรื่อง แต่ถามไป ๒ ครั้งแล้ว ก็ยังฟังไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม เลิกถามดีกว่า เดี๋ยวเฮียจะด่าเอา แล้วเราก็มานั่งงงๆ อยู่ใน Underground เพราะจำได้ว่าคุณน้องบอกว่า ไม่ต้องเปลี่ยน Underground เลยนิ พอเจอน้องหน้าตาเอเชียนั่งอยู่ข้างๆ ท่าทางเหมือนจะอยู่ลอนดอนมาพักนึงแล้ว เลยถามอีกที คราวนี้ถึงถึงบางอ้อว่า เขาซ่อม Underground กันเป็นบางสถานี ถ้าเราจะไป Earl's Court ต้องไปเปลี่ยนเป็นรถบัสที่สถานีอะไร แล้วค่อยไปเปลี่ยนเป็น Underground ที่สถานีอะไรอีกทีนึง เราฟังแล้วอึ้งไป ชิบห-ยล่ะ มันเป็นสถานีระหว่างทาง แล้วเราจะลากกระเป๋ายังงัยละเนี่ย คราวนี้ไม่มีรถเข็นแล้วด้วย น้องเขาเห็นเราทำหน้าลำบากใจ ก็เข้าใจผิดพูดปลอบใจเราว่า ไม่ยากหรอก แต่เดินตามๆ กันไปเท่านั้น เรางี้นึกในใจ ไม่ใช่เรื่องนั้นโว๊ย

พอถึงสถานีที่ต้องเปลี่ยนรถ เราก็อึ้งไปเลย เพราะมันไม่มีลิฟต์ เลยกัดฟันยกกระเป๋าหนักโคตรๆ ขึ้นไป โชคดีที่มีผู้หญิงจีนคนนึงมาช่วยยก พอขึ้นไปเห็นรถบัส และจินตานาการว่า ต้องมีการยกกระเป๋าขึ้นบันไดอีกรอบ เราเลยโทรไปหาคุณน้องให้มาเจอเราที่นี่แทน รออยู่ครึ่ง ชม. คุณน้องก็มาถึง ๒ ป้า เลยช่วยกันยกกระเป๋าขึ้น-ลงรถบัส + Underground กว่าจะถึงที่พัก เล่นเอาหมดแรง นึกว่าจะหมดเวรหมดกรรมแล้ว แต่ที่ไหนได้วิบากกรรมยังไม่หมดแค่นั้น ต้องยกกระเป๋าขึ้นห้องนอนที่อยู่ชั้น ๒ ด้วย โอ๊ย เหนื่อยจนแทบไม่อยากจะไปเที่ยวแล้ว คุณน้องเลยเสนอว่า ไปเที่ยวที่มันสะดวกๆ ก่อนละกัน และมันก็บ่ายๆ แล้วด้วย เลยตัดสินใจไป Notting Hill กัน

สมัยที่เราเรียนที่อังกฤษ เราไม่เคยได้ยินชื่อตลาดนัด Notting Hill เลยนะ สงสัยมันจะฮิตจากหนังของเจ๊จู(เลีย)กับพี่ฮิวจ์ สมัยโน้นเรารู้จักแต่ Covent Garden อ่ะตลาดก็น่ารักดี และคงเป็นเพราะบรรยากาศเมืองนอกด้วยมั๊ง อะไรๆ เลยดูน่ารักไปหมด บ้านก็น่ารัก-น่าเอ็นดู ต้นไม้ก็มีฟอร์มสวยงาม (ขนาดใบโก๋รนนะเนี่ย) แถมมีข้าวผัดสเปนหน้าตาหน้ากินด้วย เรากับคุณน้องเลยซื้อมากินกัน ข้าวผัดหน้าตาดี แต่รสชาดไม่ดีเท่าหน้าตา แล้วก็กลับกัน เรางี้หลับเป็นตาย…

Friday, February 15, 2008

เดินทาง

Flight ออกเที่ยงคืนครึ่ง เราเลยบ้าระห่ำทำงานถึง ๓ ทุ่ม แต่ก็ยังไม่เสร็จ ต้องหอบ Minutes ไปทำต่อที่โน่นจนได้ พอไปถึงสนามบินด้วยรถลีโมซีนฟรีอย่างสะดวกสบาย-น่าติดใจ (กว่าจะได้ ต้องไปต่อรองกับ Citibank แทบแย่) ปรากฎว่าการบินไทยฮิตมาก กว่าเราจะหาซื้อที่คาดกระเป๋าสำเร็จ (ตามที่ป้าปุ๊ก - เจ้าของกระเป๋าขู่ไว้ ที่ให้เรายืมกระเป๋าใบใหญ่ เพราะเราต้องหอบของไปให้เจ้าของบ้านเยอะมากกกกกกกก) กว่าจะได้เช็คอิน + ฝ่าด่า Immigration (พึ่งจะรู้ว่า เดี๋ยวนี้เวลาไปต่างประเทศไม่ต้องซื้อภาษีสนามบินแล้ว ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นตั้งนานแล้วนะ ควรจะรวมในค่าตั๋วให้เรียบร้อยไปเลย เพราะยังงัยมันก็ต้องจ่าย แต่อิชั้นก็เสียเวลาไปอีก ๑๐ นาทีในการหาตู้ซื้อและสอบถามพนักงานแถวนั้น กว่าจะรู้เรื่อง เฮ้อ… ป้าจริงๆ เลย) ก็เหลือเวลาขึ้นเครื่องแค่ครึ่ง ชม. เลยต้องช้อปโดยความเร็วสูงสุด พอเหลือเวลาอีก ๑๕ นาที เราก็วิ่งหน้าเริ่ดจะไปขึ้นเครื่อง ปรากฎว่าเจอคิวสแกนด่านสุดท้ายอีกยาวววววววววววว เฮ้ย มันมีด่านนี้อีกเหรอวะ กำลังเลิ่กลักอยู่ก็ได้ยินพนักงานตะโกนเป็นภาษาไทยว่ามีช่องเปิดเพิ่มที่ชั้นล่าง เราเลยรีบวิ่งลงบันไดไปโดยมีฝรั่งอีกฝูงนึงเดินตามมา เราเลยได้คิวสแกนเป็นคนแรก แล้วก็วิ่งหน้าเริ่ดไปที่ Gate พลางนึกในใจนี่ตรูจะต้องตาลีตาเหลือกไปถึงไหนเนี่ย พอวิ่งไปใกล้ๆ ก็เห็นป้ายกระพริบคำว่า "Final Call" คราวนี้วิ่งเป็นร้อยเมตรหญิงเลย และอิชั้นก็เป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายอีกแล้วครับทั่น พอนั่งลงหายหอบ กัปตันก็ประกาศด้วยเสียงเซ็งๆ ว่า "เนื่องจากเก้าอี้เสีย เครื่องจะเลื่อนเวลาออกไปอีก ๓๐ นาที ขออภัยในความไม่สะดวกครับ" เฮ้ย… ทำงี้ได้งัยวะ วิ่งมาแทบแย่… โห… เซ็งอ่ะเซ็ง…

เราได้นั่งกลางระหว่างฝรั่งชาย ๒ คน คนข้างซ้ายดูแล้วรุ่นใกล้เคียงกับเรา แต่คุณพี่หลับเอาเป็นเอาตาย ไม่รู้ไปอดนอนมาจากไหน คนข้างขวาเป็นลุงแก่ๆ มากับเมีย (แหม… เซ็งเลย นึกว่าจะได้นั่งข้างน้องเคน เพราะได้ข่าวว่าไปเที่ยวยุโรปช่วงนี้พอดีเหมือนกัน) แต่คุณลุงน่ารักมาก เห็นเราไม่หลับซะที เลยบอกเคล็ดลับการหลับบนเครื่องกับเราว่า ให้ตั้งเวลาไปเป็นเวลาอังกฤษ ซึ่งมันก็จะเป็นหัวค่ำ เราจะได้รู้สึกว่า โอ้… ใกล้เวลาเข้านอนแล้ว แล้วเราก็จะรู้สึกง่วงไปเอง เราฟังแล้วก็ยิ้มๆ เอ่อ ตอนนี้ก็ตี ๓ แล้ว ไม่ต้องใช้เวลาอังกฤษก็ได้ค่ะ แต่ที่หนูไม่หลับซะที คิดว่าเป็นเพราะมันแฮงค์ไปแล้วตะหาก และเพราะไม่หลับกันทั้งคู่ เลยพากันดูเรื่อง Elizabeth ที่การบินไทยเอามาฉาย เราเลยถามคุณลุงว่า มันมีความเป็นจริงอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ คุณลุงหันมาทำหน้าเบื่อๆ ตอบว่า "คงซัก ๑๐ อย่างมาก ๒๐" คุณป้าเลยหันมาตบผลั๊วะ แล้วบอกว่า "๕๐-๕๐ จ๊ะ" กว่าหนังจะจบก็ปาเข้าไปตี ๔ กว่า คราวนี้เราหลับป๊อกเลย…

Sunday, February 10, 2008

ถึงคราวต้องตัดใจจริงๆ

ปุ๊กเคยถามเราว่า เรื่องเกี๊ยกไปถึงไหน เราบอกว่า หมะบอกให้ตัดใจ แต่เรายังไม่ยอมตัด ยังจะขอสู้ต่อ นิจยังแซวเลยว่า "ขนาดแม่บอกให้ตัดใจ พี่หนิงยังไม่ตัดเลย" แต่เอาเข้าจริงๆ เราก็ท้อเหมือนกันนะ เราว่า เราโทรหาเกี๊ยกมากกว่าเกี๊ยกโทรหาเรา พักหลังๆ เราเลยเริ่มไม่โทรหาเกี๊ยกแล้ว แล้วเลยคว้าพี่น้ำพริกอ่องมายึดเหนี่ยวจริงใจ เพราะคนนี้ยังงัยก็ไม่มีวันสมหวัง แอบปลื้มไปเรื่อยๆ ดีกว่า หวังว่าตอนได้ผู้รับเหมาหลัก จะมีแบบพอดูได้หลุดเข้ามาในวงจรชีวิตบ้าง สาธุ!

ก่อนเรากลับกทม. พอดีอี๊มาหาดใหญ่เหมือนกัน เลยพากันไปเที่ยวทะเลสงขลา เพราะอี๊ต้องรอเฮียเชียรตีกอล์ฟ อี๊เลยพาคณะชาวยะลาไปนั่งระบายสีการ์ตูนปั้นที่ชายหาด เด็กๆ ก็เลือกตุ๊กตากันคนละตัว เรากำลังช่วยมุกระบายสีอยูเพลินๆ จู่ๆ อี้ก็พูดขึ้นมาว่า รู้หรือยังว่าเกี๊ยกจะแต่งงาน กำลังหาบ้านอยู่ เพราะพี่สาวเกี๊ยกไม่ปลื้มเจ้าสาว เลยต้องแยกบ้านกัน เราฟังแล้วอึ้งไปเลย เกี๊ยกไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยนะ หรือบอกอ้อมๆ แต่เราไม่เก็ทก็ไม่รู้ แต่นึกๆ ไป ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกับเกี๊ยกมันก็ก่อนปีใหม่นะ เหตุการณ์อาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ หมะงี้หน้าจ๋อยไปเลย เราก็ใจเสียเหมือนกัน เพราะหมะปลื้มเกี๊ยกเอามากๆ แต่ก็ (กัดฟัน) พูดว่า "งั้นที่วันก่อนหมะได้ยินเกี๊ยกบอกซิ้มคนนั้นว่า กำลังจะแต่งงานเร็วๆ นี้ หมะก็ได้ยินถูกแล้วนะซิ แต่หนิงว่า ก็ดีแล้วล่ะที่แยกบ้านออกมา พี่สาวเกี๊ยกเล่นตั้งป้อมซะขนาดนี้ อยู่ด้วยกันก็มีปัญหาแน่นอน ถ้าเป็นหนิง หนิงจะขอแยกบ้านโดยพี่สาวเกี๊ยกไม่ต้องเอ่ยปากด้วยซ้ำ" หมะเลยพูดเรียบๆ ว่า "เรื่องของเขาน่ะ" เราเลยก้มหน้าก้มตาช่วยมุกระบายสีต่อ เฮ้อ… เศร้าจัง… คราวนี้ต้องตัดใจของแท้เลย…

Saturday, February 9, 2008

ไม่เหมือนเดิม...

ไฟล์ทเราคราวนี้เช้ามาก เราเลยตัดสินใจไม่นอน เพราะขืนนอน โอกาสตกเครื่องมีสูง เลยทำงานไปเรื่อย จนได้เวลา ก็ลงมาเรียกรถไปสนามบิน โฮะๆ ไม่มีตกเครื่องแน่นอน พอเราเช็คอินเสร็จ เราได้ยินคนพูดว่า "หนิงมาทำอะไร" หันไปเป็นฤทธิ์ เขาจะไปโคราช ช่างบังเอิญดีแท้ และเครื่องฤทธิ์ออกก่อนเรา ๒๐ นาที เลยไปนั่งคุยกันที่ Gate ของฤทธิ์ แต่ไม่รู้ทำไม เรารู้สึกว่าคุยไม่ค่อยสนุก เพราะฤทธิ์ชอบพูดถึงผู้หญิงในทางลามกนิดๆ แต่มันก็เป็นคนพูดจาอย่างนี้มานานแล้วนะ แต่ทำไมหนนี้เรารู้สึกรับไม่ค่อยได้-หยะแหยงยังงัยก็ไม่รู้ (สงสัยเราแก่แล้ว เลยมีดวงตามองเห็นธรรม) เลยเปลี่ยนไปคุยเรื่องเพื่อนๆ แทน ฤทธิ์เลยบ่นเรื่องไข่นุ้ยใหญ่ว่าเป็นคนแปลกๆ เราก็แก้ตัวแทนไข่นุ้ย (ทุกคนก็มีความแปลกในตัวทั้งนั้นแหละ มันก็แปลกเหมือนกันแหละ ส่วนป้าๆ ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ๕๕๕) คุยพลางฟังเขาประกาศเรียกขึ้นเครื่องไปพลาง ซักพักนึงก็ได้ยินเขาประกาศว่า "นี่คือการประกาศเรียกครั้งสุดท้าย ผู้โดยสารของสายการบินไทยที่ใช้นามเฉลิมพร… กรุณาขึ้นเครื่องด่วน" เรางี้ตาเหลือกรีบวิ่งไปขึ้นเครื่อง Gate ก็อยู่สุดทาง อายโคตรๆ เลย อะไรฟระ เครื่องฤทธิ์มันดีเลย์หรืองัย แต่เราก็ฟังทุกประกาศนะ บ้าที่สุด เกือบตกเครื่องแล้วไม๊ล่ะ อุตส่าห์อดนอนเชียวนะ… พอเรานั่งลง เราก็ได้ยินเสียงคนถอนหายใจเบาๆ เลยได้แต่หวังว่า มันคงเป็นเรื่องบังเอิญ เขาคงไม่ได้ถอนหายใจ เพราะยัยป้าคนนี้มาสายหรอกนะ เฮ้อ…

Tuesday, February 5, 2008

ซินเจียหยู่อี่

นายอิชั้นจะเอาหน้ากลับโอนเนอร์ฮ่องกง เลยทำการซ้อมพูดอวยพรเป็นภาษาจีนกับเราก่อนเริ่มประชุม เพราะช่วงนี้ใกล้ตรุษจีนมากแล้ว พอโอนเนอร์เดินเข้ามาในห้องประชุม พี่ณัฐก็พูดว่า “ซินเจียหยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้” พี่วิลทำหน้างงๆ อยู่ ๒ วินาที แล้วพูดว่า “Is that English?” เราก็อึ้งไป ๒ วินาที เหมือนกัน ก่อนที่จะหัวเราะพรวดออกมา ๕๕๕… นี่มันเป็นแต้จิ๋ว พี่วิลฟังไม่รู้เรื่อง อิชั้นเลยรีบนึกภาษากวางตุ้งอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า "ก๋งเหยฟาฉ่อย" พี่วิลเลยยิ้มแล้วพูดว่า "Correct." แหม… น่าสงสารจริ๊งจริง กะว่าจะเอาหน้าซะหน่อย กลับหน้าแตกแทนซะนิ เราเลยปลอบใจว่า "ไม่เป็นไรพี่ ปีหน้าเอาใหม่ เรายังมีอีก ๓ ตรุษจีนกับวิลสันให้พี่แก้ตัว" ๕๕๕… (อีกรอบ)

Sunday, February 3, 2008

เปิดครัว

หลังจากที่เก๋มาโอ้อวดในไดฯ ว่า มีฝีมือในการทำหอยทอด จนป้าๆ ทั้งหลายต้องเรียกร้องให้มีการทำพิสูจน์ เนื่องจากคอนโดฯ เราอยู่ใจกลางเมือง เลยได้ทำหน้าที่เจ้าของบ้านเปิดครัวให้เก๋แสดงฝีมือ พอบ่ายแก่ๆ ป้าๆ ก็ทะยอยกันมา เก๋มาพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทาง เรางี้อึ้งไปเลย เฮ้ย… อุปกรณ์ประกอบฉากทำไมมันอลังการนะฟระ แล้วก็เริ่มแบ่งหน้าที่กันทำ

ตอนแรกเรากะซื้อสลัดมากินแก้เลี่ยนกับหอยทอด แถมหมูยังโทรมาบอกอีกว่า เนื่องจากอยู่ในโหมดลดความอ้วน ขอกินแต่สลัดเท่านั้น แต่เผอิญปุ๊กได้หม้อสุกี้ฟรีมา เลยต้องเปลี่ยนเมนูกัน แต่ก่อนจะทำสุกี้ ปุ๊กเกิดอยากกินเบคอน เลยเอาหม้อมาทอดเบคอนก่อน เราเห็นมันทอดเอาๆ เกือบหมดแพ็ค เลยหันไปจะบอกว่า อย่าทอดหมด เพราะหมูไม่ช่วยกิน กำลังจะพูด ก็เหลือบไปเห็น เบคอนคาปากดอนอยู่ อ้าว… อะไรกันเนี่ย…

ต้องขอชมว่า หอยทอด (กรอบๆ) ฝีมือเก๋อร่อยจริงๆ สมราคาคุย ถ้าตกงาน สามารถทำอาชีพนี้ได้สบาย (เผลอๆ รายได้ขายหอยทอดหน้าโรงงานเก๋ อาจจะมากกว่าเงินเดือนเก๋ก็ได้ ๕๕๕)

พอกิจกรรมกินซาๆ ลงไป เก๋ก็ชมห้องเราเป็นกิจลักษณะ แล้วก็ชอบบอร์ดแปะรูปของเรา เลยขอถ่ายไปเพื่อให้ช่างทำบ้าง เนื่องจากกล้องเก๋ดีมากๆ เราเลยแซวตัวเองว่า ให้เก๋ช่วยทำโมเสคภาพคุณเชฟด้วย เพราะมันหราอบู่บนบอร์ด ถ้าเผยแพร่ออกไป เราอาจโดนน้ำกรดสาดหน้าได้ ๕๕๕…