Thursday, January 25, 2007

เลื่อนกำหนดการเข้ากรุง

หลังจากทะเลาะกันไปมา สุดท้ายคุณนพก็ยอมแพ้(เพื่อเงิน) ยอมเลื่อนกำหนดกลับของเราเป็น ๑๕ กุมภาพันธ์ ดีนะเนี่ยที่ยังไม่ออกตั๋ว เราเลยตั้งใจว่าจะกลับยะลาอีกรอบก่อน เลยโทรไปหาเกี๊ยกให้ไปรับที่ท่ารถอีก แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า เพราะเกี๊ยกก็ยังคงจะมารับเราที่ท่ารถเท่านั้น แต่ไม่ยอมมาส่งเราที่ยะลา เฮอะ… คนเรา เล่นตัวซะขนาดนี้ เดี๋ยวอิชั้นก็เลิกจีบซะเลย…นกมาภูเก็ตอีกแล้ว เลยได้มีโอกาสเม้าท์เรื่องพลัสฯ ทั้งศิษย์ปัจจุบันและศิษย์เก่า เราเลยพึ่งจะรู้ว่าแอนออกจากอนันดา แล้วมาทำงานกับส้มเพื่อนเก่า ซึ่งก็น่าจะดีนะ เพราะเป็นธุรกิจของตัวเอง ส่วนน้ำเพชรก็มาทำ DWP แถมทำโครงการสุโขทัยที่เราจะไปทำอีกตะหาก เออ… ที่จริงโลกอสังหาฯ มันก็วนๆ กันอยู่อย่างนี้นี่เอง...

Tuesday, January 23, 2007

ชดใช้

เมื่อวานพอสารภาพไปกับพี่ณัฐ เลยโดนด่าซะเปิดเปิง หูชาไปเลย สุดท้ายเลยสรุปให้เราไปทำงานที่ กทม. ก่อน ๒-๓ เดือน ถือซะว่าใช้หนี้บุญคุณ(ถ้ามี)ให้หมดซะละกัน ส่วนตั้มอยู่ภูเก็ตต่อแน่นอน เพราะดันไปแอบมีงานราษฎร์ไว้ แต่คุณติ๊กก็นิสัยแย่วะ กั๊กเหลือเกิน จนเราตอบแล้วว่า เราไม่อยู่แน่นอน (ชักจะคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วนะเนี่ย) แต่ตั้มอยู่ต่อ แกก็ไม่เรียกตั้มไปคุยซะที จนจอห์นทนไม่ได้ ต้องเข้าไปแย่บๆ ให้ เฮียก็ตอบว่า ทุกอย่างโอเคแล้วนิ มันจะโอได้งัยวะ ไม่เห็นจะคุยเรื่องตำแหน่ง-เงินเดือน-ผังโครงการใหม่เลยนิหว่า เฮ้อ… ชักเป็นคนนิสัยแย่โดยแท้…

Sunday, January 21, 2007

เมื่อไก่รองบ่อนโทรมา

น้าอินแวะเอาโจ๊กมาให้เราตอนเช้า โห… อย่างงี้จะไม่ให้ชอบชีวิตที่ภูเก็ตได้งัย ว่าแล้วก็ลุกมาทำข้อดี-ข้อเสียในการใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ กับภูเก็ตมันซะเลย ให้คะแนน Weight เสร็จสับ ปรากฎว่า ภูเก็ตชนะไปเล็กน้อยด้วยคะแนน ๔.๐ ต่อ ๓.๕ แต่ก็นั่นแหละ เราก็เกรงใจพี่ณัฐอยู่ดี หลังจากคิดหาเหตุผลที่จะพูดกับพี่ณัฐอย่างปวดหัวมาหลายวัน เราก็ตัดสินใจว่า เราจะพูดกับพี่ณัฐตรงๆ ว่า เราจะอยู่ภูเก็ต แต่พี่ณัฐจะให้เราทำอะไรชดใช้ให้ก็บอกมา แต่กำลังเล็งๆ ว่า จะพูดกับพี่ณัฐในวันพุธเย็นๆ เพราะอยากจะคุยกับคุณติ๊กก่อนในวันพุธบ่าย (พอดีคุณติ๊กไปกรุงเทพฯ จะมาทำงานวันพุธ) แต่พี่ณัฐก็ Surprise เราโดยการให้พี่ฐากรูมาคุยโทรศัพท์กับเรา แถมนัดกินข้าวกันที่กรุงเทพฯ เป็นที่วุ่นวาย เราเลยต้องเปลี่ยนแผนเป็นว่า จะต้องคุยกับพี่ณัฐโดยเร็วที่สุด เพราะเดี๋ยวธุรกิจแกจะเสียหาย ซึ่งก็แปลว่า เราต้องคุยกับพี่ณัฐวันพรุ่งนี้เลย เฮ้อ… เอาวะ เผื่อว่า John จะหาเหตุผลที่ดีๆ ให้เราได้ใน Weekend นี้ สาธุ!

พอบ่ายๆ อู๊ดโทรมาถามอาการเรา เพราะรู้จากหงษ์ว่าเราไม่สบาย มันพยายามหลอกล่อให้เราสัมภาษณ์ในรายการไม่หลับไม่นอน กะหลอกถามชีวิตโสดของเรา ไอ้บ้า ชั้นไม่ใช่ดารานะยะ ไม่มีใครเขาอยากรู้เรื่องชั้นโสดหรอก เราเลยชักเอะใจ กลัวว่าลมจะพัดหวน เลยทำเป็นมุขถามมันว่า ถ้าอีก ๒ ปี แล้วเรายังไม่มีใคร เราจะขอมันแต่งงาน มันจะแต่งไม๊ อู๊ดตอบว่า "ไม่" เป็นอันว่าเคสนี่ปิดแน่นอน

วันนี้เราอยู่บ้าน เลยมีโอกาสตะลุย search เรื่องเจ้าชายจิกมี่ เคเซอร์ฯ เอ๊ย กษัตริย์จิกมี่ เคเซอร์ฯ ครองราชย์อย่างเต็มที่ ตอนแรก search จากภาษาไทยก่อน (ขี้เกียจอ่านภาษาอังกฤษ) ปรากฎว่าในฐานข้อมูลมีแต่ข่าวเจ้าชายฯ เสด็จมาเมืองไทย เลยต้อง search จากภาษาอังกฤษ ค่อยได้เรื่องได้ราวหน่อย (ไม่รู้จะอยากรู้ไปทำไม มันจะมีมูลค่าเพิ่มกับชีวิตตรงไหนก็ไม่รู้… -_-" ทำยังกับว่า ถ้าเกิดการปฏิวัติขึ้นมา จะไปช่วยท่านกู้บังลังค์งั้นแหละ) จากที่ตอนแรกเราคิดว่าเป็นเพราะแรงกดดันของรัฐบาลที่อยากจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเร็วๆ แต่นักการข่าวของอินเดียวิเคราะห์ว่า เป็นเพราะพ่อของเจ้าชายกลัวว่า ถ้าปล่อยไว้นานภูฏานอาจมีเหตุการณ์รุนแรงอย่างเนปาล เลยรีบสละราชย์ฯ เพื่อจะได้ค้ำบัลลังค์ให้ลูกชายในขณะที่ตัวเองยังสุขภาพแข็งแรงและมีบารมีอยู่ อืม… ทรงเป็นพ่อที่ดีจริงๆ เลยนะเนี่ย เราเลยมีโอกาสได้อ่านประวัติพ่อของเจ้าชายฯ เลยเข้าใจเลยว่าทำไมคนภูฏานถึงชอบพ่อของเจ้าชายฯ มากกว่าเจ้าชายฯ ตามที่หมูเคยบอกไว้ ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า พ่อของเจ้าชายทำงานหนักคล้ายๆ ในหลวงเหมือนกัน และไม่ค่อยเสด็จต่างประเทศ จะว่าไป พ่อของเจ้าชายก็เก่งมากๆ เพราะครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุ ๑๙ พรรษา ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ฝ่าฟันครองบัลลังค์มากว่า ๓๐ ปี จนถึงปัจจุบันได้ก็นับว่าต้องเป็นคนที่เก่งมากๆ ในหลายๆ ด้านจริงๆ (ว่าแล้วก็ชักลังเลใจว่าควรจะประมูลซองจดหมายกับแสตมป์ในวาระที่พ่อเจ้าชายมีพระชนมายุครบ ๕๐ ปี ในอีเบย์ดีหรือป่าว เพราะแค่ ๑๐ เหรียญเอง เผื่อมันจะมีมูลค่าเพิ่มอย่างมหาศาล…) ในขณะที่เจ้าชายฯ ยังแว่บมาเที่ยวภูเก็ตตอนมางานครองราชย์ ๖๐ ปี ของในหลวง นอนโรงแรมอมันปุรีและเช่าเรือยอช์ทราคาแพงโคตร แต่เอาเหอะ เรารับได้ คนหล่อทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด ว่าแล้วก็ไล่อ่านข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าชายฯ ซะเลย ปรากฎว่ามีหลายๆ ข่าวที่เกี่ยวกับเจ้าชายฯ ตอนเสด็จเมืองไทยทั้งในแหล่งข่าวของอินเดีย, ออสเตรเลีย และ BBC ว่า เจ้าชายฯ เป็นที่ชื่นชอบของสาวไทยมากๆ ป๊อปปูลาร์สุดๆ เขาเรียกเจ้าชายฯ ว่าเป็น Prince Charming แต่เราไม่ชอบชื่อนี้ เพราะฟังแล้วเหมือนชื่อตัวร้ายผู้ชายในเรื่อง Shrek II มากกว่า สู้เป็น "Prince of (My) Heart - เจ้าชายในดวงใจ (ของสาว Desperate)" มิได้หรอก หุหุหุ… ; )

พอเย็นๆ หน่อย ใหญ่โทรมาคุยกับเรา (ร้อยวันพันปีไม่โทรมา แต่โทรมาเย็นวันอาทิตย์นี่อะนะ -_-") เลยได้รู้ว่าปุกได้โปรโมท ซึ่งเป็นไปอย่างที่เราคิด เห็นมีจะต้องโทรไปแสดงความยินดีหน่อยแล้ว… หุหุหุ…

Saturday, January 20, 2007

เมื่ออาหารเป็นพิษ

ที่จริงเรานัดอัดรายการกับหงษ์ แต่เราดันอ้วกแตก-อ้วกแตน แถมท้องเสียสุดๆ อีกตะหาก เลยลุกมาจัดรายการด้วยไม่ไว้ แบบว่าเห็นภาพตัวเองตอนก่อนไม่สบายมากๆ มาหลอกหลอนอีกรอบเลย เพราะตั้งแต่เราไม่สบายรอบใหญ่นี่ เราจะเป็นกังวลมากเวลาเราท้องเสีย เพราะเรากลัวลำไส้เราจะเป็นพังผืดตามที่หมอบอกไว้ จะกินยาแก้ท้องเสียก็เลยไม่กล้ากิน เพราะกลัวจะไปกดอาการของลำไส้ เลยไปรบกวนให้น้าอินซื้อยาฆ่าเชื้อในท้องกับผงเกลือแร่มาให้ แต่น้าอินบริการ VIP มาก เพราะน้าอินกลับมาพร้อมด้วยยาและบะหมี่น้ำ แล้วบอกว่า "ยามันต้องกินหลังอาหารนะ น้าอินเลยซื้อบะหมี่มาให้กินด้วยเลย" โห… ซึ้งสุดๆ วันนี้เราเลยนอนทั้งวัน ไม่ไปไหนหรือทำอะไรทั้งสิ้น ได้แต่ภาวนาขอให้หายท้องเสียไวๆ สาธุ!

Thursday, January 18, 2007

เมื่อ Owner โดน CM terminate

หลังจากที่เราบอกพี่ณัฐไปว่า เราไม่อยากกลับไปอยู่กรุงเทพฯ แต่เรายินดีที่จะไปชั่วคราวจนกว่าพี่ณัฐจะได้คนมาแทนเรา ส่วนตั้มไม่กลับแน่นอน พี่ณัฐบอกว่า สำหรับตั้มเขาโอเค แต่ในกรณีเรา พี่ณัฐอยากให้กลับมาก แต่เงินเดือนเราจะลดลงนิดนึง เราเลยใช้เป็นข้ออ้างในการขอไม่กลับแบบถาวรได้ แต่ก็ยังเถียงกันไม่จบเรื่องเงิน พี่ณัฐก็โทรมาบอกเราด้วยน้ำเสียงดีใจสุดๆ ว่า บริษัทจะยกเลิกงานที่ Barama Bay ให้เรากลับกรุงเทพฯ ได้เลย เป็นอันว่า เรื่องเงินเดือนเราไม่ต้องคุยแล้ว เพราะบริษัทไม่มีงานที่ภูเก็ต ฮ้า… อะไรกัน ตั้งแต่ทำงานมา ก็พึ่งจะเคยได้ยินนี่แหละว่า CM terminate owner! แต่คุณติ๊กก็แสบไม่น้อย เพราะหันมาดึงเรากับตั้มทันทีให้ย้ายมาอยู่กับแก เออ… เอากันเข้าไป นี่เป็นหุ้นส่วนกันแน่นะเนี่ย… ผู้ใหญ่ทะเลาะกัน เด็กๆ อย่างเราเลยพลอยเดือดร้อนไปด้วย ซวยจริงๆ…

Tuesday, January 16, 2007

ใครว่าชีวิตเป็นของเรา

ในที่สุดบริษัทฯ ก็ได้โปรเจคสุโขทัย พี่ณัฐโทรมาบอกให้เราเตรียมแพคของมาทำงานกรุงเทพฯ ในวันที่ ๑ กุมภา เราฟังแล้วจ๋อยๆ แบบว่า เราไม่อยากไปทำงานกรุงเทพฯ หนิ ก็เราเริ่มปรับตัวกับที่นี้ได้แล้ว (เริ่มคุยกับฝรั่งในออฟฟิสกับเขาบ้างแล้ว) งานก็น้อยโคตรๆ และที่สำคัญเราไม่อยากแพคของอีกแล้ว เรากะว่าเราจะย้ายของอีกแค่รอบเดียวในชีวิตเท่านั้น คือ ตอนเราลาออกแล้วย้ายกลับไปอยู่ยะลานี่แหละ แต่เราก็ไม่รู้จะพูดกับพี่ณัฐยังงัย เพราะเราก็เกรงใจพี่ณัฐว่าเราจะส่งเขาขึ้นฝั่งตามความตั้งใจเดิมที่ลาออกจาก TCC แล้วมาทำงานกับพี่ณัฐไม่ได้เสียแล้ว เราไม่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตเราในตอนนี้แล้ว ขอเปลี่ยนอีกแค่ครั้งเดียวตอนปลายปีเท่านั้น เราเลยโทรไปปรึกษาเกี๊ยก แต่โดนแซวว่า คิดว่าเราจะโทรมาบอกให้ไปรับที่ท่ารถซะอีก อ้าว! นี่เราโทรหาเกี๊ยกทีไรเป็นเรื่องนี้ทุกครั้งเลยรึนี่ เราเลยได้ทีมุขไปเลยว่า "งั้นหนิงจะโทรมาบ่อยๆ ก็แล้วกันนะ" ซึ่งคำปรึกษาของเกี๊ยกก็เป็นไปอย่างทีเราคิด คือ จะทำงานที่ไหนก็แล้วแต่เรา ขอให้เรามีความสุขในที่ๆ จะทำก็พอ ซึ่งถ้าเอาความคิดแบบนั้นมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ เราก็ต้องมาทำงานกรุงเทพฯ นะซิ เพราะเราจะได้ไม่รู้สึกผิดกับพี่ณัฐ แต่เราคง "ไถนา" เหนื่อยโคตร เพราะได้ข่าวว่า Owner สั่งให้ทำโอถึงตี ๒ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะคิดว่า Owner คงจะอยากเร่ง Sale Office ให้เสร็จก่อนสงกรานต์ให้ได้ แล้วเลยให้นึกถึงที่พี่เอเคยสอนว่า "เอ็นดูเขา เอ็นเราขาด" เฮ้อ… พี่เอนี่พูดถูกเสมอเลยแฮะ…

Tuesday, January 9, 2007

The Holidays

จู่ๆ เราก็ได้เมลล์จาก Citi Bank ว่า เราเป็นผู้โชคดีได้รับตั๋วดูหนังที่พารากอนฟรี ๑ ใบ แหม… จริงๆ อยากได้ Ipod ใจแทบขาด เอาวะ ก็ยังดี แต่เราอยู่ภูเก็ตจะไปดูได้งัยละ เลยต้องประกาศยกให้ป้าๆ สุดท้ายป้าหมูก็มาเอาตั๋วไป

หมู่นี้งานน้อยมากๆ เราเลยเลิกงานตั้งแต่ ๕ โมงครึ่ง แล้วเลยแวะดูหนังที่เราตั้งใจจะดูมาตั้งแต่ปี (อาทิตย์) ที่แล้ว คือ เรื่อง The Holidays นั่นเอง เพราะพอจะเดาได้จากชื่อหนังว่าเป็นแนว Romantic Comedy ที่เราชื่นชอบ และมีดาราคนโปรดรูปหล่อสุดๆ คือ จู๊ดส์ ลอร์ นำแสดงนั่นเอง พักหลังๆ นี่เราไม่ค่อยชอบหนังออสการ์แล้ว เพราะมัน Drama ซะ ดูแล้วเครียดอ่ะ เราว่าชีวิตเราก็เครียดพอแล้ว เราชอบหนังสบายๆ หรือตื่นเต้น-ผจญภัยมากกว่า

The Holidays เป็นเรื่องราวของคน ๒ คู่ คือ คู่ของจู๊ดส์กับคาเมรอน ดิแอซ และเคทกับ Jack Black ซึ่งเราตั้งใจจะไปดูเฮียจู๊ดส์ แต่ดูไปดูมา เรากลับชอบอีกคู่แทน อาจจะเป็นเพราะยัยแคมมี่พูดมากจนน่ารำคาญ
ที่คู่ของเคทกับแจ็คดูสนุกกว่า เพราะมีคุณตานักเขียนบทหนังมาแจมด้วย เลยกลายเป็นความสัมพันธ์ของคน ๓ คนแทน (ที่เราชอบ เพราะมันมีอะไรมากกว่าเรื่องของความรักอย่างเดียวงัย ก็ในชีวิตจริงของคนเรามันก็มีความสัมพันธ์กับคนในหลายๆ แบบ ไม่ใช่แค่ความรักฉันหนุ่ม-สาวอย่างเดียวหนิ) ในท้องเรื่องคุณตาแสดงเป็นนักเขียนบทหนังที่เคยได้ออสการ์ แล้วตอนนี้แก่มากๆ ขี้หลง-ขี้ลืม แถมเวลาเดินต้องใช้ที่พยุงช่วย ใช้ชีวิตเหงาๆ และไม่ได้เขียนบทหนังแล้ว (หรือคุณตาไม่รับเขียนเองก็ไม่รู้นะ เพราะในหนังไม่ได้บอกไว้) คุณตาเป็นเพื่อนบ้านกับแคมมี่ซึ่งเคทได้มาอาศัยอยู่ในช่วง Holiday คุณตาเป็นคนลึกซึ้ง-ละเอียดอ่อน ซึ่งเราเดาว่านี่คงเป็นคุณสมบัติของนักเขียน โดยคุณตาสามารถไขปริศนารักคุดของเคทได้ใน ๑ ดินเนอร์ ในขณะที่เคทต้องพึ่งจิตแพทย์ถึง ๓ ปี ก็ยังไม่หาย เราชอบตอนคุณตาเดินขึ้นไปรับรางวัลที่ทางสมาคมนักเขียนจัดให้มากที่สุด เพราะพอคุณตาเดินขึ้นบันได ๔-๕ ขั้นนั้นได้ แกก็พูดว่า แกภูมิใจในวันนี้มาก เพราะแกสามารถขึ้นบันได้อันตะกี้ได้ คนในฮอลล์ก็ฮากันใหญ่ เพราะคิดว่าแกมุข ก็แหม… การได้รางวัลเกียรติยศจากสมาคมฯ (ในเรื่องอะนะ) มันน่าจะภาคภูมิใจมากกว่านะ เรางี้ขำมาก เพราะเราว่าแกพูดจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้แกเดินเองไม่ได้ มีเคทนี่แหละที่มาช่วยแกหัดเดินจนมีวันนี้ แล้วเลยให้สงสารยายแคมมี่ว่า ดูดิ ชีพลาดการรู้จักคนน่ารักๆ ที่อยู่ข้างบ้านเธอแท้ๆ ไปได้ แบบว่าใกล้เหลือกินด่างแท้ๆ (ก็ไม่รู้ว่าในชีวิตจริงของเรา เราจะพลาดอะไรอย่างนี้ไปบ้างรึป่าวนะ อืม… สงสัยต้องหัดคุยกับคนข้างห้องบ้างซะแล้ว)

แต่คนที่ตอนแรกเราไม่สนใจเลย คือ Jack Black เพราะ Jack ไม่ใช่คนหล่อ โดยในเรื่องนี้ Jack รับบทเป็น "ไมลส์" มีอาชีพเป็นคนทำเพลงประกอบหนังที่อารมณ์ดี-คุยสนุก และมีน้ำใจ ที่สำคัญ "ไม่งี่เง่า" ด้วย เพราะตอนแฟนเก่ามาง้อไมลส์ ไมลส์ฟังเธอง้ออยู่ ๒ ชม. แล้วก็ไม่ convince เลยตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ รีบแต่งหล่อมาร่วมงานของคุณตาซะงั้น 555 ได้ดั่งใจป้าจริงๆ ไมลส์เลยได้ใจเราไปหมด รับตำแหน่งนักแสดงนำขวัญใจไปเลย (ชนะเฮียจู๊ดส์แบบขาดลอย) แบบว่าเราชอบคนนิสัยแบบนี้มาก เราว่าอบอุ่นดีและอยู่ด้วยแล้วน่าจะมีความสุขทุกวัน สาธุ! ขอให้ฝันเป็นจริง! ; )

Sunday, January 7, 2007

งานปีใหม่ชาวโปร 4

เช้าเราไปงานเปิดร้านเพื่อหญิงที่จตุจักร เพราะตั้งใจจะไปดูของขวัญจับฉลากด้วย แต่ความที่เราป้ามาก เลยไปผิดมอลล์ แล้วถึงรู้ว่าแถวจตุจักรมีมอลล์ติดแอร์ถึง ๓ มอลล์ ฮ้า… กว่าจะหากันเจอก็แทบแย่ สุดท้ายเราก็ได้ Thumb Drive 1GB จากร้านเพื่อนหญิงมาจับฉลาก เลือกแบบน่ารักๆ นิดนึง ไม่ใช่แบบหน้าตามาตรฐาน ก็หวังว่าจะมีคนอยากได้นะ แล้วก็ติดรถหญิงไปบ้านดิว โดยมีหมูมาสมทบด้วย

น้องพิมน่ารักมาก ตัวใหญ่ใช้ได้ คลานเสียงดังปึกๆ หนักแน่นมาก เราต้องบอกให้ดิวรีบจับน้องพิมใส่กระโปรงที่เราซื้อให้ก่อนที่น้องพิมจะตัวใหญ่เกินกว่าที่จะใส่มัน ก่อนกลับดิวยกนิตยสาร The Economist ให้เรา เพราะเราสนใจเลือกทำกิฟท์มาก ซึ่งในนั้นมีบทความเรื่องนี้พอดี แต่ที่ขำ คือ หญิงอ่านแล้วบอกว่า สนใจที่จะไปขาย "ไข่" ที่สเปนมาก พวกเราเลยต้องทำลายจิตใจหญิงโดยการบอกว่า "เธอขายไม่ได้หรอก เพราะไข่เธอมันหมดอายุแล้ว 555"

แล้วเราก็ไปงานปีใหม่ชาวโปรฯ ๔ ต่อที่บ้านยุทธ โดยเราติดรถหวอไป ปีนี้เพื่อนๆ รวมคู่สมรสมากันประมาณ ๒๐ คน กับเด็กๆ อีกประมาณ ๑๐ คน เลยยิ่งตอกย้ำความรู้สึก "แก่" เข้าไปอีก เพราะเห็นชัดเลยว่า เด็กๆ โตจากปีที่แล้วขนาดไหน อย่างลูกหนูตวิ่งเป็นต้น เราจะได้ว่าปีที่แล้วเรายังอุ้มมันอยู่เลย ตอนนี้วิ่งได้ล่ะ และตัวหนักเกินกว่าที่เราจะอุ้มแล้วด้วย (โดยเฉพาะยังอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อภาวะท้องแตกแบบนี้ด้วยแล้ว) คนที่มาก็เป็นหน้าเดิมๆ แต่น่าเสียดายที่ฤทธิ์ไม่ได้มา ส่วนเบ้มาไม่ทัน เพราะเครื่องลงตอนเกือบ ๕ ทุ่ม แล้ว ที่จริงก็มีคนอื่นที่ไม่ใช่โปรฯ ๔ มาด้วย อย่าง "จ๊อบ", "อ.เก๊ก-โปรฯ กอล์ฟ", "หนุ่ย" กับ "ต๊ะ" แต่ก็ถือว่ามาได้ไม่น่าเกลียด เพราะซี้กันซะ… ปีนี้แลกของขวัญไม่ค่อยสนุก เพราะจบเร็วไปหน่อย โดยก็มีของขวัญของ "ตี๋" เป็น Highlight เพราะหงษ์ดันไปโกหกมันว่า ของขวัญต้องมีราคา ๑,๕๐๐ บาท ขึ้น (ที่จริงแค่ ๕๐๐ บาท ขึ้นเท่านั้น) งานเลิกประมาณเที่ยงคืน ตอนแรกเรากะติดรถหวอกลับเหมือนเดิมแล้วมาต่อแท๊กซี่เอา แต่ก็ลองแย็บๆ ถามอู๊ดดูว่า จะไปส่งเราได้ไม๊ ปรากฎว่าอู๊ดยอมออกนอกเส้นทางมาส่งเรา เย้! เราเลยเม้าท์ก้บยุทธว่า ปีนี้หนิงน่าจะโชคดีทั้งปีนะ 555...

Friday, January 5, 2007

ไปดูตัว

คุณนพออกช้า เราเลยได้กินผัดไทยกุ้งสดที่โรงแรมสุโขทัย จานละ 350 บาท ++ (บริษัทฯ จ่าย) อร่อยสุดๆ ^_^ พอเข้าห้องประชุม ทาง Owner ก็ไม่เห็นจะถามอะไรเรากับพี่ว่าที่ PM อีกคนซักเท่าไหร่ (แล้วเรียกมาทำไมวะ พี่ณัฐบอกว่า เขาแค่อยากดูว่า บริษัทมีคนจริงรึป่าวแค่นั้นเอง) แปีปเดียวก็เสร็จ แล้วก็พาดูไซท์ โห… กำลังทำ sale office เสียด้วย เหนื่อยแน่ๆ ตรู อยู่ภูเก็ตต่อดีกว่า แล้วก็กลับออฟฟิสกัน เราเลยขอแยกตัวไปซื้อของขวัญจับฉลาก เลือกอยู่พักนึง แต่ก็ไม่ได้ของถูกใจ เลิกดีกว่า พรุ่งนี้ยังมีเวลาอีกครึ่งวัน ตอนนี้ได้เวลาไปกินข้าวกับป้าๆ แล้ว

เราก็นั่งรถไฟฟ้าไปจากสยาม พอขึ้นรถเราก็สังเกตว่า มีน้องที่พลัสฯ นั่งอยู่ใกล้ๆ เราเลยย้ายที่ยืน เพราะไม่แน่ใจว่าจะทักเธอดีรึป่าว ปรากฎว่าพอเราย้ายที่ เราก็มาเจอดุ๊ก เฮ้ย… อะไรมันจะบังเอิญอย่างงี้วะ แถมที่สำคัญ ดุ๊กมันอยากเปลี่ยนงานด้วย เราเลยรีบเชียร์ให้มันมาทำงานแทนเรา เราจะได้ไม่ต้องมาทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วเลยรู้ว่า TCC มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว เออ… เปลี่ยน Chart บ่อยใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย แต่ก็เอาเหอะ ยามนี้เราได้แต่หวังว่า มันจะอยากทำงานกับพี่ณัฐนะ

ตอนแรกบรรดาป้าๆ ตกลงกันว่าจะกินที่ Emporium แต่หญิงขอให้เปลี่ยนร้าน เพราะไม่อยากขับรถไปห้าง กลัวรถติด เลยต้องเปลี่ยนมากินกันที่โชคชัยสเต๊กซ์เฮ้าส์ เรามาถึงคนแรก ตามด้วยปุ๊ก, หห., นิจ, หญิง และหมู (เก๋ไม่มา ปุ๊กบ่นว่า รู้งี้เปลี่ยนไปนัดแถว SCB แล้ว) ก็อำๆ ขำๆ บลั๊ฟๆ กันตามปกติ แล้วปุ๊กก็มาส่งเราที่คอนโดด้วย Civic ประจำตำแหน่งคันใหม่ นั่งสบายเชียว เพราะเธอตกลงใจเปลี่ยนงานหลังจากอยู่ กฟผ. มาร่วม ๑๕ ปี ก็ได้แต่หวังว่าปุ๊กจะไม่ผิดหวังตามที่นิจได้อวยพรปีใหม่ (ให้ทุกคน) ไว้ว่า "ขอให้ได้ในสิ่งที่หวัง และไม่ผิดหวังในสิ่งที่ได้"

Thursday, January 4, 2007

Do u get off?

ไฟล์ทแน่นมาก เราต้องไปลุ้นระทึกที่สนามบิน Stand by อยู่ตั้ง ชม. กว่าจะได้ขึ้นเครื่อง (ใช้ดวงอีกแล้ว) แต่ซวยตรงที่ต้องนั่งติดกับแขกอินเดีย ๒ คน กลิ่นงี้สุดๆ เลย ดีที่เป็นไฟล์ทสั้นนะเนี่ย ถ้าเป็นไฟล์ทยาว อิชั้นขอเปลี่ยนที่นั่งแน่นอน แต่พอถึง กทม. คราวนี้เราโชคดีได้นั่งบัสออกจากสุวรรณภูมิกับฝรั่งหน้าตาดี เฮียชวนคุยตลอดทาง แป๊ปเดียวก็ถึงประตูน้ำแล้ว อืม… มีคนชวนคุยนี่เพลินดีจริงๆ

ก่อนรถจะออก จะมีพนักงานมาถามว่าใครจะลงที่ไหน เพื่อจดให้พนักงานขับรถจอดตามจุดต่างๆ (รถจะไม่จอดป้ายที่ไม่มีคนลง) และคอยตะโกนบอกให้ผู้โดยสารลงให้ถูกต้อง เพราะคนที่นั่งส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติซึ่งจะไม่รู้ว่าถึงจุดที่จะลงแล้วหรือยัง ซึ่งเราว่าก็เวิร์คดีนะ แต่เจ้าหล่อนถามนักท่องเที่ยวว่า "Do u get off?" ทำเอาฝรั่งงง พอเห็นว่าฝรั่งงง เธอก็หัวไวดีรีบถามใหม่ว่า "Where are u going?" คราวนี้ฝรั่งก็จะตอบว่า "ข้าวสาร" หรือที่ไหนก็ว่ากันไป ตอนแรกเราก็เลยเล็งๆ กะว่าจะเรียกเธอมาบอกให้เติมคำว่า "Where" ด้วย เพราะฝรั่งคงงงที่พอขึ้นรถแล้ว ดันมีพนักงานถามว่า "จะลงรึป่าว" แต่เห็นเธอแก้สถานการณ์ได้ ก็เลยปล่อยเธอไป แต่ที่ขำที่สุดก็คือ มีฝรั่งคนนึงเจอเธอถามว่า "Do u get off?" มันทำท่าจะเดินลงจากรถ ดีที่เจ้าหล่อนดึงไว้แล้วถามใหม่ มันเลยไม่ต้องลงจากรถ รอดไป!

รถบัสมาถึงประตูน้ำตอนประมาณ ๔ ทุ่ม แล้วเราก็เรียกแท๊กซี่ต่อ แต่เราสังเกตว่า กรุงเทพฯ เงียบมากยังกับตี ๒ ยังงัยยังงั้น เราเลยถามแท๊กซี่ว่าเกิดอะไรขึ้น เฮียกลับตอบว่า "นี่คุณไม่รู้อะไรเลยเหรอ" เราก็งงๆ นึกว่ามีปฏิวัติซ้อน แต่ก็ไม่ใช่ คุณพี่แท๊กซี่ได้กรุณาเฉลยว่า เป็นเพราะคนกรุงเทพฯ กลัวระเบิด เลยไม่กล้าออกไปไหน รีบกลับบ้านกันหมด ถนนเลยเงียบๆ ไม่คึกคัก อ้อ… ที่แท้เป็นเช่นนี่นี้เอง ที่จริงเราก็รู้อะนะเรื่องขู่ระเบิดเนี่ย แต่เราไม่คิดว่าคนกรุงเทพฯ จะกลัว ก็เรานัดกินข้าวกับป้าๆ เย็นพรุ่งนี้ ไม่เห็นจะมีใครกลัวเลยซักกะคนนี่นา…

Tuesday, January 2, 2007

ทำงานวันแรกของปี ๕๐

ทั้งบริษัทมากันตั้ง ๕ คน (รวมเรา) เป็นคนไทยล้วนๆ เลยพากันเลิกงานตั้งแต่บ่าย ๓ เฮ้อ… รู้งี้ อู้งานนอนอยู่ยะลาต่ออีกวันดีกว่าตู พอสายๆ พี่ณัฐก็โทรมาบอกให้เรามาให้ owner "ดูตัว" ที่กรุงเทพฯ วันศุกร์นี้ เย้! เราเลยได้เข้ากรุงฟรี แถมยังได้ไปงานปีใหม่เพื่อนเตรียมฯ และได้เจอดิวด้วย ดีใจจัง…

Monday, January 1, 2007

กลับภูเก็ตแบบจ๋อยเล็กๆ

ก็จะไม่ให้จ๋อยได้งัยล่ะ ก็เกี๊ยกไม่ยอมไปดูหนังกับเรา แถมวันนี้ยังไม่มาส่งเราด้วย เพราะต้องไปส่งน้ำแข็ง either เกี๊ยกจะไปส่งน้ำแข็งจริง หรือใช้เป็นข้ออ้างเพราะไม่อยากมาเจอเรา เราก็จ๋อยทั้งนั้น เพราะถ้าเป็นเหตุผลแรก เราก็ชักจะไม่แน่ใจว่า เราจะทนกับ "สามี" ที่ไม่ไปเที่ยวไหนเลยได้เหรอ เทียนบอกว่าให้เอาหนังสือ ๕๐ ที่ทั่วโลกที่น่าไปไปให้เกี๊ยกดู เผื่อจะ inspire เฮียได้ แต่ส่วนกลับถามเราว่า เราแน่ใจเหรอ เพราะเรากับเกี๊ยกนี่คนละเรื่องเลยนะ นั่นสิ มันเป็นเพราะเรา desperate รึป่าววะ แต่ถ้าเกี๊ยกไม่มาเจอเราด้วยเหตุผลหลัง เราก็ควรตัดใจได้แล้วนะ… แหม… เปิดปีใหม่มาดวงความรักเราก็เริ่มฉายแววอับแสบเลยนะเนี่ย เฮ้อ…