Saturday, June 30, 2007

ดนตรีบำบัด

และแล้วก็ถึงวันไปดูคอนเสิร์ตเฉลียง บนบัตรเขียนว่า "ดนตรีบำบัด" พวกป้าๆ ก็ขำกันใหญ่แบบว่า เข้ากั๊น-เข้ากันกับชีวิตป้าๆ คอนเสิร์ตเริ่มบ่ายครึ่งช้าไปครึ่งชั่วโมง เรางี้สงสารศิลปินเลยเชียว ก็ปกติเขามีแต่แฟนเพลงมารอนักร้อง นี่กลับกลายเป็นนักร้องต้องมารอแฟนๆ เพราะแฟนๆ ยังจูงลูก-จูงหลานมาไม่เรียบร้อย ระหว่างรอก็ทายกันเล่นๆ ว่า เฉลียงจะเปิดคอนเสิร์ตด้วยเพลงอะไร เราทายถูกว่าเป็น เพลงเอกเขนก แต่พอเปิดคอนเสิร์ตจริงๆ ๕ คนที่มายืนไม่ใช่เฉลียงทั้งหมด มี "กิ๊ก" กับ "ดู๋" มาเสียบแทน (คงเป็นเพราะมันเป็นคอนเสิร์ตของ สถาปัตฯ จุฬาฯ ละมั๊ง) ไอ้เราก็สงสัยอยู่เป็นนานว่า ทำไม๊ "แต๋ง" อ้วนจัง กว่าจะเก็ทมุขก็ต้องรอให้กล้องซูมมาที่หน้าของศิลปิน เฮ้อ… ดู ๖๐๐ บาท ก็เก็ทมุขช้าหน่อยนะ เฉลียงก็ผลัดๆ กันมาเล่นที่ละคนสองคน (สงสัยแก่แล้ว ยืนเล่นคอนเสิร์ต ๒ ชม. เต็มไม่ไหว) แต่ละคนก็มีแขกรับเชิญของตัวเอง (ซึ่งเรา, ปุ๊ก และหญิงไม่รู้จักเอาเลย ต่างคนต่างหันมาถามกันว่า "ใครเหรอ?" ป้าจริงๆ เลย…) ซึ่งเราก็ชอบหมด อ้อ พึ่งรู้ว่าเกี๊ยงแต่งเพลงด้วย คนอะไร้… ทั้งรูปหล่อทั้งมีความสามารถ หุหุหุ… แต่เพลงที่เราชอบมากที่สุดในคอนเสิร์ต คือ เพลง "อยากมีหมอน" เพราะเอามาทำเป็นเพลงลูกทุ่งจังหวะสนุกๆ และคงเป็นเพราะ "กิ๊ก" เป็นคนร้องด้วยมั๊ง มันเลยขำๆ ฮาๆ (งานนี้ "ดู๋" กลายเป็นตัวประกอบไป) แถมฉากบนเวทีก็ดูได้บรรยากศลูกทุ่ง-คาเฟ่ดี ส่วนช่วงที่เราชอบมากๆ ก็คือ ช่วง "นิทานหิ่งห้อย" เพราะ "เจี๊ยบ" เล่าได้ขำดี มุขเฉียดคุกหน่อยๆ เราคิดว่าเป็นเพราะเราแก่แล้ว เลยขำมุขพวกนี้ เพราะเมื่อหลายๆ ปีก่อนเราเคยดูละครถาปัด แล้วเราไม่ขำอ่ะ แบบว่าทันมุขหมดเลย เราเลยไม่โกรธที่ "เฉลียงตระบัดสัตย์เพื่อจุฬาฯ" แม้ว่า "ดี้" จะยืนยันว่า คอนเสิร์ตนี้เป็นภาคผนวกของคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายเมื่อ ๗ ปี ที่แล้วก็ตาม เพราะเราตั้งใจว่า ต่อให้คราวหน้าจะมีภาคผนวก ๒, ๓, ๔, … เราก็ยังจะมาดู "เฉลียง" อยู่ดี

คอนเสิร์ต "เฉลียง" คราวนี้มีการเอาบรรดาลูกๆ ของศิลปินมาแสดงร่วมบนเวที ก็เลยมีการแนะนำตัวเด็กๆ กัน เรากับหญิงเม้าท์กันว่า ฟังชื่อแล้วรู้เลยว่าเป็นลูกศิลปิน ก็แต่ละคนชื่อ ต้นไม้และต้นน้ำ (ลูกแต๋ง), ต้นข้าว (ลูกดี้), แก่นไม้ (ลูกนก) และเพลงเอกและเพลงขวัญ (ลูกเจี๊ยบ) แต่ลูกเกี๊ยงชื่อปกติมาก เพราะชื่อว่า น้องแก้ม (แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อจริงของน้องแก้มจะออกแนวเหมือนลูกๆ ของชาวเฉลียงรึป่าว) น้องแก้มหน้าตาน่ารักมาก จนอยากไปช่วยเลี้ยง (ขอเล่นมุขเดียวกับป้าตุ๊ก - วิยะดา ซะเลย อิอิ…) ส่วน "จุ้ย" ไม่มีลูก เลยอดโชว์ช่วงศิลปินเด็ก ซึ่งก็ดี เพราะเราว่า จุ้ยเพี้ยนๆ อ่ะ แต่ก็ยังดีที่ในคอนเสิร์ต "จุ้ย" เพี้ยนน้อยกว่าในทีวี

คอนเสิร์ตเล่นกันยาวนานเลิกเอาห้าโมงสิบห้า จนเราสงสัยว่ารอบต่อไปมันจะเลิกเที่ยงคืนหรือป่าวเนี่ย… แต่ก็เอาเถอะถือว่า ตัดสินใจไม่ผิด คุ้มสุดๆ ที่ได้มาดู (มารู้ทีหลังว่า คอนเสิร์ตรอบ ๒ ซึ่งจริงๆ ต้องเป็นรอบแรกเริ่มทุ่มสิบห้า เลิกเอา 5 ทุ่มกว่า เล่นกันแบบทิ้งทวนจริงๆ หรือนี่…) และก็อดใจไม่ไหว เลิกจากคอนเสิร์ต เรากับปุ๊กก็มาต่อแถวรอซื้อซีดีด้วย แต่คิวยาวสุดๆ กำลังจะเลิกล้มความตั้งใจพอดี ก็มาเจอเพื่อนหมูที่มาช่วยเขาขายเสื้อ เลยฝากน้องเขาซื้อ โชคดีจริงๆ

ตอนขับรถกลับบ้าน คุณน้องโทรมาบอกว่า ผล IELT ไม่ผ่าน เลยจะไปเรียนภาษาที่อังกฤษเลย เพราะ U ให้เรียนฟรี แต่ต้องไปสิงหานี้แล้ว จะให้เราไปพร้อมกันเลย เราเลยต้องออกตัวว่า คงไปด้วยไม่ได้ เพราะตะกี้เทียนพึ่งโทรมาบอกให้เราไปไต้หวันเป็นเพื่อน (นี่ไม่นับที่คิดจะชวนหญิงไปฮ่องกงนะเนี่ย…) เราต้องไปปฏิบัติหน้าที่พี่สาวก่อน แต่ก็บอกว่า อาจจะไปช่วงตุลาแทนถ้าคุณน้องจำเป็นจะให้เราไปจริงๆ เพราะเราจะเรียนเป็นผู้ตรวจสอบอาคารสิงหานี้แล้ว (เรียน ๖ อาทิตย์) เราตั้งใจจะสอบให้ผ่านให้ได้ จะได้กลับไปประกอบสัมมาชีพนี้ที่บ้านนอกซะที…

Sunday, June 24, 2007

ไปรับเสด็จ

เมื่อต้นปีเจ้าชายจิกมี เคเซอร์ฯ เสด็จมารับปริญญาที่ ม. รังสิต แล้วมีการทาบทามฟ้าหญิงองค์เล็กให้เสด็จภูฏานด้านงานวิจัยของท่านในช่วงกลางปี พอแป๊ปเดียวก็กลางปีหล่ะ เพราะเราเห็นข่าวในพระราชสำนักว่า ฟ้าหญิงองค์เล็กเสด็จภูฏานช่วง ๒๐-๒๗ มิถุนายน เราเลยต้องรีบกลับบ้านให้ทันก่อน ๒ ทุ่มทุกวัน เพราะอยากกลับไปดูหน้าสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ฯ เพราะฉะนั้นช่วงนี้พอมีใครถามว่า เราจะรีบกลับไปไหน ก็จะตอบว่า "ไปรับเสด็จ" เพราะนอกจากสมเด็จพระราชาฯ จะหน้าตาดีแล้ว เราจำได้ว่า เคยเห็นรูปท่านพี่เขยของพระองค์ก็หล่อมากเหมือนกัน (ที่ถูกต้อง คือ หล่อกว่าอ่ะ ; D) เลยสงสัยว่าหนุ่มภูฏานน่าจะหล่อเป็นส่วนใหญ่ และที่สำคัญจะได้ดูวิวภูฏานด้วย เพราะชาตินี้คงไม่มีโอกาสไปเที่ยวที่นั่น

ด้านบน คือ ความหวัง ส่วนความเป็นจริง คือ ได้เห็นหน้าสมเด็จพระราชาฯ แค่ ๒ วัน เพราะท่านให้ท่านยาย, ท่านลุง, ท่านอา, ท่านแม่ ตลอดจนน้องสาวมารับเสด็จตลอด แต่ไม่มีท่านพี่เขยและท่านพ่อเลย (ผิดหวังมาก) ส่วนวิวภูฏานก็ไม่ได้ดู เพราะฟ้าหญิงฯ เสด็จบรรยายทุกวัน ได้เห็นแค่ส่วนพระราชวังแว่บๆ แต่ที่แน่ๆ เราสังเกตว่าคนภูฏานใส่ชุดประจำชาติกันเป็นส่วนใหญ่ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย (สรุปว่าผู้ชายภูฏานมีสัดส่วนหน้าตาดีเป็นปกติเหมือนผู้ชายเอเชียโดยทั่วไป ไม่ได้มีมากอย่างหนุ่มยุโรปแต่อย่างใด) ดูแล้วขลังมาก น่ารักอีกตะหาก เลยให้จินตนาการบรรเจิดว่า ถ้าผู้ชายไทยใส่ชุดประจำชาติดัดแปลงอย่างชุดพิธีกรรายการคุณพระช่วยก็น่าจะดี นึกภาพหนุ่มไทยนุ่งโจงกระเบนมาประชุมคงดูน่ารัก แต่ผู้หญิงนี่สิ ยังนึกไม่ออกว่าจะใส่แบบไหนที่ดูแล้วทั้งคล่องตัวทั้งน่ารัก ถ้าให้เราใส่ชุดอย่างพนักงานโรงแรมมาทำงาน เราคงเดินสะดุดหัวคว่ำตายเป็นแน่ ว่าแล้วก็นึกภูมิใจที่คนเชียงใหม่มีอยู่ช่วงนึงเขานัดกันใส่ชุดม่อฮ่อมทุกวันศุกร์ ไม่รู้ทุกวันนี้ยังทำกันอยู่อีกรึป่าว เราว่าได้ทั้งการแต่งกายที่เหมาะกับสภาพอากาศ, การรักษาวัฒนธรรม และส่งเสริมการท่องเที่ยวมากๆ ด้วย

Saturday, June 23, 2007

โปรเจ็คอะไร

เรานัดกับตนุว่าจะไปดูโรงงานมูเทียร่าที่อยู่ไกลถึงนวนคร โดยเหน็บ ๒ ป้า คือ ปุ๊กกับเก๋ไปด้วย (หมูติดธุระอะไรซักอย่างนึง) พอขับรถไปถึงโรงงาน พี่ รปภ. (ห้ามเรียกยาม มีโกรธ ขอบอก) ก็สอบถามตามหน้าที่ มีอยู่คำถามนึงเขาถามว่า เรามาจากบริษัทอะไร เราเลยแกล้งยามโดยบอกว่า "Project Alliance ค่ะ ขอย้ำ อะไลแอ๊นซ์ นะคะ มีคำว่า แอนซ์ ด้วยค่ะ" อยากรู้ว่าพี่รปภ. จะเขียนถูกไม๊ ปรากฎว่าเขาเขียนตรงช่องบริษัทว่า "โปรเจคอะไร" เรางี้กลั้นหัวเราะแทบแย่ แล้วมาแซวตนุว่า "นั่นสิ โปรเจคอะไรหน๊า…" แล้วตนุก็ถามว่ามากันครบแล้วใช่ไม๊ พอเราตอบว่า "ใช่" ตนุก็นั่งลง พวกเราก็งงๆนึกว่า ต้องรอคนของมูเทียร่าอีก รออยู่แป๊ปนึง เราก็อดไม่ไหวถามตนุว่ารอใครเหรอ ตนุบอกว่า "เปล่าครับ แล้วพวกคุณจะดูอะไรกันล่ะ (ประหนึ่งว่าผมก็รอพวกคุณป้าบอกอยู่นี่แหละ)" เราฟังแล้วเสียวแทนตนุว่าจะโดนปุ๊กตบ เพราะให้นั่งรออะไรก็ไม่รู้ แถมมาโรงงานเฟอร์ฯ แล้วจะดูอะไรได้อีกล่ะถ้าไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์ แล้วมันก็เป็นโรงงานคุณ ดิฉันจะรู้ไม๊เนี่ยว่า มันต้องเดินยังงัย หรืออนุญาตให้คนนอกเดินเพ่นพ่านได้ บ้าที่สุด แต่เหมือนว่าตนุจะรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิต เลยลุกขึ้นพาพวกเราเดินทัวร์ (ปุ๊กมาแซวที่หลังว่า ตาเต่าตนุเอ๊ย… แล้วเลยนึกสงสารเราที่ต้องทำงานกับตนุ เราบอกว่า ตนุไม่ใช่ที่สุดของไซท์ มีอีกคนที่พูดไม่รู้เรื่องยิ่งกว่า มันคือ ไอ้แจ็ค ดูดิว่าชีวิตเราน่าสงสารขนาดไหน…)

ก็เป็นไปดังคาดโรงงานมีแต่เฟอร์ฯ สไตล์ผู้ใหญ่ๆ และชิ้นก็ใหญ่ๆ เพราะส่วนใหญ่ทำส่งโรงแรม ๕ ดาว ไม่เข้ากับคอนโดเล็กๆ ของเราหรือแม้แต่ของแจ้ เลยสรุปว่าเราไม่ได้อะไรเลย คนที่ได้กลายเป็นปุ๊ก เพราะปุ๊กเห็นโปสเตอร์เตือนการใช้ Folk Lift เลยให้เก๋กับเราช่วยถ่ายรูปให้หน่อย จนตนุมาแซวว่า เดี๋ยวหาของจริงให้ก็ได้ ไม่ต้องถ่ายรูปหรอก มาดูเฟอร์ฯ แต่ถ่ายรูปโปสเตอร์ Folk Lift นี่อะนะ

ดูโรงงานเสร็จเที่ยงหน่อยๆ ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย จากตอนแรกที่นึกว่าจะไปกินกุ้งแม่น้ำต่อ แต่พอปุ๊กบอกว่าไกลและไม่ค่อยแน่ใจทาง ตนุก็ตอบไม่ได้ เลยเปลี่ยนเป็นไปกินสุกี้ที่เมเจอร์ - รัชโยธินแทน แบบว่าไม่กล้าวนรถเล่นแล้ว เพราะอาจมีรายการกล่องข้าวน้อยฆ่าเพื่อนได้ กินข้าวเสร็จก็วนรถไปส่งเก๋ตรงจุดนัดพบที่ปั๊ม ปตท. แถวดินแดง พอจะถึง เก๋รู้ว่าเราจะไปงาน Thailand Grand Sale (คราวนี้ถูกต้อง ไม่พลาดแน่นอน) ก็ขอไปด้วย บอกว่าขี้เกียจกลับบ้านไปเลี้ยงหลาน เราฟังแล้วงงๆ เพราะเราชอบเล่นกับมุกมาก เราว่าเด็ก ๓ ขวบ กำลังน่ารัก เพราะมันชอบมีมุกแปลกๆ ขำๆ ออกมา

งานไทยแลนด์ฯ คนไม่เยอะ (เทียบกับคอมมาร์ทไม่ได้เลย) และของที่เอามาเซลล์ก็งั้นๆ กระเป๋าที่แพงสุด คือ กระเป๋าลาคอส ซึ่งเราบ่นว่ายังแพง (แบรนด์เนม) ไม่พอ สรุปว่า วันนี้แห้ว ๒ อย่าง อีกแล้ว คือ แห้วทั้งเฟอร์ฯ แห้วทั้งกระเป๋า…

Friday, June 22, 2007

เรื่องของคนรวย

คุณนพให้เราไปดู Compressor Air ที่วางอยู่หลังบ้านคุณ ส. เพราะคุณ ส. เมลล์มาบ่นว่า Com เสียงดังมาก คนใช้นอนไม่ได้ แถมส่งผลวัดเสียงมาด้วยว่าดัง ๘๐ กว่าเดซิเบล (คนบ้าอะไรวะ มีเครื่องวัดเสียงด้วย) เราฟังแล้วเซ็งมาก เพราะเราเดินผ่านมันตลอดเวลาแต่ไม่เคยรู้สึกเลยว่ามันเสียงดัง เลยบอกว่า "พี่ค่ะ แอร์เปิด ๙ โมงเช้าถึง ๕ โมงเย็น คนใช้บ้านคุณ ส. เขานอนกลางวันด้วยเหรอคะ อีกอย่างนึง โครงการเราก็ใช้ไดกิ้นนะคะ ไม่ได้ใช้แอร์กระจอกซะที่ไหน พี่จะเอามอเตอร์ที่มันเงียบขนาดไหนละคะ" เท่านั้นแหละ คุณนพเลยถอดเราออกจากคณะกรรมการเพื่อนบ้านสัมพันธ์ทันที แล้วบอกพี่ณัฐว่า แกจะดูแลแทน เราเลยมั่นใจว่าประเมินผลปีนี้ เราต้องโดนเตือนเรื่องทัศนคติแน่

คุณนพส่งปูไปวัดเสียงเครื่องคอม ปรากฎว่าวัดที่ต้นกำเนิดเสียงได้ ๗๐ เดซิเบลนิดๆ ตาคุณ ส. เลยเมลล์มาขอโทษ กล้อมแกล้มว่าเครื่องวัดเสียงแกมันวัดได้ไม่ละเอียดเท่าเครื่องของโครงการ เราก็นึกว่าเรื่องจบ ที่ไหนได้ อาเบนกลับบอกให้เราเรียก Acoustic Consultant ของโครงการมาดู อาจจะทำผนังกันเสียงหรืออะไรก็ว่าไป เฮ้อ… ช่างเป็นบุญของตา ส. จริงๆ ที่ได้เจ้าของโครงการเป็นอาเบน เราถามหน่อยเหอะ ถ้าเพื่อนบ้านไม่ใช่โครงการแต่เป็นบุคคล ตา ส. แกจะกล้ามีเรื่องกับเพื่อนบ้านอย่างนี้รึป่าว ใจนึกเลยนึกดีใจที่เราไม่ต้องเข้าประชุมเพื่อนบ้านแล้ว เพราะไม่งั้นเราต้องสวัสดีมันทุกครั้งไป ไม่อยากไหว้ให้เสียมือเลยจริงๆ…

แต่เรื่องยังไม่หมด ตา จ. ก็เมลล์มาต่อว่าว่า คนงานเราไปยืนทำงานบนรั้วของเขา อันนี้เข้าใจได้ค่ะ จะรีบเตือนให้ ว่าแล้วก็โทรไปด่ายงยุทธทันทีให้มันดูแลลูกน้องให้มากกว่านี้หน่อย แต่อันหลังนี่ไม่เข้าใจ เพราะตา จ. ลงท้ายเมลล์ให้โครงการทำการติดตั้งรั้วชั่วคราวด้านที่ติดกับโรงรถแกให้แข็งแรงมั่นคง อย่าให้มีอุบัติเหตุเพราะ "คงไม่ต้องบอกนะว่ามันมีรถอะไรบ้างในโรงรถ" เรางี้นึกในใจ อ้อ ไอ้รถเบนซ์ ๒๐ ปี ที่แล้ว กับจักรยานเฟสสันนะเหรอคะ แหวะๆๆ

Thursday, June 21, 2007

อิจฉา

เราเกลียด Project Meeting ทุกวันพฤหัสฯ เว้นพฤหัสฯ มาก เพราะนังพอลลาร์จะมาดูไซท์ แล้วไปอัดเราในห้องประชุมทุกที (จะโล่งใจมากถ้าครั้งไหนมันไม่มาประชุม แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะตั้งแต่ทำงานมา ไม่เคยเห็นดีไซน์เนอร์ใส่ Detail เยอะขนาดนี้ ทำแบบมายังกับ Shop Drawing ที่สำคัญใช้หน่วย มม. แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ มันจำ Detail ได้ด้วย ยังกับว่ามันเขียน cad เอง ไม่ได้ให้กุมารน้อยเขียน เราเป็นคงที่ไม่ลง Detail เลยพอไปหน้างานเราก็บอกไม่ค่อยได้ว่า งานถูกหรือผิด ก็เลยสมควรอยู่ที่นังพอลลลาร์จะไม่ค่อยชอบเรา และคงจะไม่ไว้ใจเอาเลยด้วยล่ะ) แต่ตั้งแต่เราได้ Project Architect หนุ่ม - เอ๋ มาช่วยงาน ก็รู้สึกดีขึ้น เพราะเอ๋จะคล่องกว่าเกด และดูงานรอบคอบกว่า ที่สำคัญ คือ เป็นผู้ชาย! อาทิตย์นี้เราเลยให้เอ๋เดินตรวจงานกับพอลลาร์แทน ปรากฎว่า พอลาร์มาชมเอ๋ในห้องประชุมตลอดทุก ๑๕ นาที ไม่ว่าจะยก ตย. งานอะไรก็จะลงท้ายว่า คุณเอ๋ (กรุณาทำเสียงสูง) ได้ cover เรื่องพวกนี้ไว้แล้ว พี่ณัฐงี้หน้าบานเชียว ส่วนคุณนพไม่ต้องพูดถึง บานยิ่งกว่า เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่บริษัทไม่โดนดีไซน์เนอร์อัดหลังจากทำงานกันมาร่วม ๔ เดือน เราได้แต่อิจฉาเอ๋ในใจ เฮอะ! งานที่มีเกย์ใหญ่เป็นกรรมการ ชะนีจะไปชนะผู้ชายได้งัยล่ะ!

Wednesday, June 20, 2007

คนรุ่นใหม่

เราได้รับมอบหมายให้ Renovate บ้าน C1 เป็นห้องประชุมของโรงแรม งานนี้ได้ Mutiara - ผู้รับเหมาคู่บุญของเราเป็น Main โดยมีตนุเป็น Supervisor และมีผู้รับเหมางานแอร์ที่ Owner หามาให้เลย คือ Ventury โดยมี MD คือ ลุงมาร์คัส มาดูแลเอง

ลุงมาร์คัสเป็นผู้รับเหมารุ่นใหม่มาก เพราะพูดจากตรงแน่ว ไม่สนว่าใครจะเป็น CM ใครจะเป็น Owner เรางี้อยากให้อีตาประสาทมาเจอลุงมาร์คัสจริงๆ อยากรู้ว่าจะแน่จริงๆ รึป่าว เพราะเปิดฉากมา เราก็ทะเลาะกับลุงมาร์คัสทันที เพราะอีกตาลุงมาโวยเราที่เราส่ง BOQ ของลุงไปให้ผู้รับเหมาครัวดู เราก็งงๆ ว่า เราเผลอไปส่งตอนไหนวะ กว่าจะเคลียร์กันได้ว่า เรา Forward เฉพาะแบบ และตัด BOQ ออกไป เราก็โดนลุงโวยไป ๑ ยก เรียบร้อยแล้ว แต่พอเรื่องเคลียร์นี้เสร็จ ลุงก็ขอโทษเรา เราเลยนึกในใจว่า เกือบไปแล้วไม๊เนี่ย ต่อไปต้องทำงานรอบคอบมากๆ ไม่งั้นซวยแน่ แต่ก็ยังฉุนๆ ไม่หาย แล้วเลยคาใจคำถามที่ Edward เคยถามเราว่า มาร์คัสที่เป็นผู้รับเหมา ใช่มาร์คัสเดียวกับที่เป็นกรรมการของฝั่ง Owner ด้วยไม๊ ซึ่งเราเคยตอบไปว่า ไม่น่าจะใช่ เพราะคนจีนใช้ชื่ออังกฤษพร่ำเพรื่อออก เราเลยไปถามพี่ณัฐ พี่ณัฐบอกว่า "ใช่ ลุงมาร์คัสคนนี้แหละที่เซ็นจ่ายเช็คค่า Fee เราทุกเดือน" แป่ววววว!!! พอเราเล่าให้ Edward ฟังว่า ใช่มาร์คัสเดียวกัน และที่สำคัญเราฉะกับลุงมาร์คัสคนนี้ไปแล้ว ๑ ยก มันบอกว่า "You are in deep shit!" เราเลยอึ้งๆ ไป โห… Deep shit เลยเหรอวะ ไม่ใช่แค่ Shit เหรอ…

แต่หลังจากทำงานกันมา ๒ อาทิตย์ เราก็ทำงานกับลุงมาร์คัสได้เข้าขากันมากขึ้น วันนี้เราต้องเก็บเงินค่าห้องน้ำคนงานซึ่งเป็นกฎที่เราตั้งขึ้นมาใหม่จากลุงมาร์คัส (นังริทซ์ไม่ยอมเก็บ โยนมาให้เราเฉยเลย) เราก็คิดอยู่เป็นนานว่าจะพูดยังงัยดีลุงถึงจะไม่ดุเรา แต่กลับกลายเป็นว่าลุงมาร์คัสหยิบกระเป๋าตังค์มาจ่ายทันทีโดยดีและไม่ถามอะไรเลย แถมยังแซวเราว่า "ดูดิ ไม่เหลือเงินซื้อข้าวกลางวันกินเลย ต้องไปใช้สิทธิ์กินฟรีที่โรงแรมแทนซะแล้ว"

เราเลยปลื้มลุงมาร์คัสนิดๆ เราว่าเขาเป็นคนรุ่นใหม่ดี รู้ว่าตัวเองกำลังใส่หมวกใบไหนอยู่ ประเทศไทยน่าจะมีคนแบบนี้เยอะๆ นะ ประเทศชาติจะได้พัฒนา…

Monday, June 18, 2007

น้องใส่ปราด้า

เราพึ่งสังเกตว่าน้องริทซ์ใส่เข็มขัดปราด้า (คนอื่นๆ บอกว่า มันใส่มาตั้งนานแล้ว) เราเลยเรียกมันว่า น้องปราด้า แล้วเม้าท์กับมาร์ค มาร์คบอกว่า "Oh! Do u mean Mr. Prada?" เรางี้ขำกลิ้ง เลยเป็นอันรู้กันกับมาร์คว่า Mr. Prada หมายถึงใคร แล้วเลยทะแม่งๆ ในใจหน่อยๆ ว่า ตกลงริทซ์มันเป็นไบฯ ป่าววะ

ทำโปรเจคนี้มาร่วม ๔ เดือน บริษัทเราพึ่งจะจัดพิธีไหว้ศาล (นี่ถ้าเตียวฮงไม่ไหว้ บริษัทเราคงไม่ได้ไหว้ซะที) ตอนเราจะอฐิฐาน ไอ้เอ๋มาแซวเราว่า ให้ขอท่านให้ได้แต่งงานดิ ศาลที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากนะ ขอบอก! (จริงๆ ไม่จำเป็นต้องบอก!) เราเลยไม่รอช้า ขอท่านทันที ถ้าได้แต่งงาน เราจะจัดงานที่สุโขทัยนี่แหละ!

Sunday, June 17, 2007

หนังไตรภาค

หมู่นี้มีหนังไตรภาคเข้ามาเยอะมากพร้อมกัน และดันเป็นหนังที่เราดูทั้ง ๒ ภาคแรกไปแล้วซะด้วย (ทั้งแบบเสียตังค์และไม่เสียตังค์) ไม่ว่าจะเป็น Ocean 13, Pirate of the Carribean 3, Shreck 3, Spider Man 3 และ Die Hard 4.0 อ้อ อันหลังนี้ภาค ๔ อีกตะหาก (นิจบอกว่า มันตั้งชื่อยังกับไวรัส สงสัยคงไม่ตายโดยง่าย น่าจะมีอีกหลายภาค -_-") เราเลยนึกในใจ ซวยละตู ต้องทำงานหนัก(ดูหนัง)อีกแล้วรึนี่…

Ocean 13 เป็นเรื่องแรกของซีรียส์ที่ดู ถึงแม้ภาคนี้จะไม่มี ๒ สาว (เจ๊จูกับเจ๊แคท) หนังก็ยังสนุก เราชอบมากกว่า ๑๒ แต่น้อยกว่า ๑๑ ที่สำคัญ พี่ Brad หล่อ-เท่ห์เหมือนเดิม (ไม่มีภาพจาก Troy เหลืออยู่) ส่วนมุกที่ชอบที่สุด คือ ตอนที่พี่แอนดี้ยอมร่วมมือกับพี่จอร์จโดยให้เหตุผลว่า "ตึกบ้านั่นมันบังวิวสระน้ำฉัน" เราว่าเท่ห์สุดๆ บ้าดีจริงๆ ส่วนมุกที่พี่จอร์จต่อมน้ำตาแตกทุกครั้งที่ดูโอปราโชว์ เราว่าก็ขำๆ - น่ารักดี (คิดได้งัยวะ) หมูบอกว่า ตอนท้ายที่พี่จอร์จบอกพี่แบรดว่า ให้ลงหลักปักฐาน มีลูกซัก ๒-๓ คนได้แล้ว สงสัยจะพูดจากชีวิตจริงของพี่แบรด ฮ้า… แต่ก็ดูเข้าเค้าอะนะ

เรื่องต่อมา คือ Pirate of the Carribean 3 อันนี้ยังงัยก็ดู เพราะมีทั้งพี่จอนนี่และน้องออแลนโด้ ^_^ ส่วนอาแปะ เอ๊ย เฮียโจวเหวินฟะแต่งหง้นาซะน่าเกลียด ไม่เหลือมาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ แถมโผ่ลมาแป๊ปนึงก็ตายล่ะ (การันตีความหล่อของน้องน้องออแลนโด้ เพราะเฮียโจวถึงกับให้สัมภาษณ์ว่า น้องออแลนโด้หล่อมาก ขนาดทำให้เขาถึงกับอยากจะกลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้ง!) เรื่องนี้ไปดูกันหลายป้า แต่ดูแล้วก็คิดกันไปคนละทิศละทาง (ทำยังกับนิยายที่คนอ่านแต่ละคนมีสิทธิ์ตีความกันไปหลายๆ ด้านได้) แต่ที่เหมือนกันที่สุด คือ ผิดหวังกับมุกนังแม่มด นึกว่าจะแผลงฤทธิ์ได้มากกว่านี้ สุดท้ายก็มีแค่น้ำวนๆ เทคนิคกระจอกกว่า The Abyss เมื่อ ๑๕ ปีที่แล้วซะอีก -_-" เรื่องนี้หมูไปดูก่อน แล้วบอกว่าตอนท้ายเรื่องที่ต้องรอให้ขึ้นเครดิตให้หมดก่อน แล้วจะมีหนังต่ออีกนิดส์นึง มันไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่ แต่พวกเราก็ยังอดทนรอ และมันก็เป็นอย่างที่หมูบอกจริงๆ ด้วย เฮ้อ… Anyway สำหรับเรื่องนี้ เราให้คะแนน ๒ ภาคเท่ากัน ส่วนภาค ๓ ได้คะแนนน้อยกว่า ๑ คะแนน เพราะช่วงเปิดหนังอืดไปหน่อย และเน้นฉากแหยะๆ มากไปนิดนึง แต่โดยรวมก็ยังน่าไปดูอยู่ดี

Shreck 3 เป็นเรื่องสุดท้ายของซีรีส์ที่เราไปดู (Spider Man 3 ไว้ไปดูในทีวีละกัน ป้าดูไม่ทันแล้ววววว…) แม้ว่าหมูจะเตือนว่า "ไม่ดูก็ได้นะพี่" เราก็ยังไป เพราะชอบ Shreck ทั้ง ๒ ภาคมาก และแล้ว… หมูก็พูดถูกอีกแล้ว ภาคนี้เทียบกับ ๒ ภาคแรกไม่ได้เลย หนังพยายามอัดมุกให้ตลกตลอดเรื่อง แต่เราว่ามันฝืดๆ ยังงัยพิกล เลยให้คิดว่า แล้วถ้า Toy's Story มีภาค ๓ ล่ะ จะไปดูดีไม๊หน๊อ…

วันนี้เราจ้างคนมาย้ายฟูกเตียงเดี่ยวของเราไปให้แจ้ แล้วเลยแถมยกตู้วางทีวีของเราให้อีกอัน (จะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อตอนนี้) ร้านที่มาย้ายนี้เป็นร้านครอบครัว เพราะเอาลูกชายซัก ๑๒ ปีมาช่วยยกด้วย ช่วยพ่อ-แม่ทำงานตั้งแต่เล็กน่ารักดี แต่พอเราไปถึงคอนโดแจ้ เราก็ตกใจ เพราะรปภ. ชุดใหม่นี่เด็กมาก (อายุเกิน ๒๐ รึป่าวก็ไม่รู้) มันจะดูแลคนในคอนโดได้เหรอ แถมยังนั่งสูบบุหรี่ในตู้ยามอีกตะหาก พนักงานที่คอนโดบอกว่า มีลูกบ้านคนอื่นมาบ่นๆ เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนได้เมื่อไหร่ เราเลยรีบ sms ไปให้พี่ตุ๊กทันที นี่มันหน้าตาของพลัสฯ นะ ปล่อยได้งัย!

พอมีเวลาเหลือ เราเลยไปงาน Thailand Grand Sale มี่ศูนย์ประชุมฯ เพราะลงข่าวว่ามีของแบรนด์เนมมาเซลล์ด้วย (อยากหิ้วกระเป๋าหลุยส์ฯ อ่ะ ; D) พอไปถึงคนเยอะมากจนเราตกใจว่าคนไทยบ้าช้อปปิ้งขนาดนี้เชียวเหรอ แล้วเลยนึกกระหยิ่มใจว่า สงสัยของจะเด็ด-น่าซื้อสุดๆ เป็นแน่ แต่ที่ไหนได้… ปรากฎว่าที่จริงมันเป็นงานคอมมาร์ทตะหาก งานไทยแลนด์ฯ น่ะอาทิตย์หน้า (อ้าว ทำไมลงข่าวผิดๆ อย่างนี้ละคะ เฮ้อ…) แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว เราเลยตะลุยหาซื้อแบตกล้องซะเลย แต่ (อีกล่ะ) ซื้อไม่ได้ เพราะกล้องเราเป็นรุ่น V3 เต่า ๓ ล้านปี (3 ล้านพิกเซล) ของที่เขาเอามาขายเป็นของรุ่นล่าๆ ประมาณ V7 หรือ V8 คนขายแนะนำว่าให้เราเอากล้องมาลอง เพราะไม่แน่ใจว่ามันจะใช้แบตรุ่นเดียวกันหมด สรุปว่า งานนี่แห้วทั้งกระเป๋า แห้วทั้งแบต… เซ็ง อ่ะ เซ็ง…

Friday, June 15, 2007

เด็กขี้ลืม

ป้าหนิง: เฮ้อ… อะไรกัน จะ ๔ โมงแล้วรึนี่ วันนี้ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

น้องริทซ์: นั่นดิ เผลอแป๊ปเดียวก็วันศุกร์อีกล่ะ ผมว่า เผลออีกทีก็ ๓๐ แล้วอ่ะ

ป้าหนิง: ไอ้บ้า ถ้าแกเผลอตัวอีกทีก็ ๓๐ งั้นชั้นเผลออีกที ก็ ๔๐ อะดิ

น้องริทซ์ (ขำใหญ่) แล้วเลยรีบเปลี่ยนเรื่องมาพูดถึงเพลงที่เรากำลังเปิดฟังอยู่: เอ๊ะ พี่หนิงมีเพลงนี้ด้วยเหรอครับ เอามาจากไหน เพราะดีนะครับ

ป้าหนิง (หน้าหงิกยิ่งกว่าเดิม): มีผู้ชายมาเอามาให้อ่ะ (ริทซ์ทำหน้าไม่เชื่อ) และไอ้ผู้ชายคนนั้นก็ชื่อ ริทซ์!
ริทซ์: ฮ้า…

ป้าหนิง: ทำไมแกขี้ลืมอย่างนี้ ยังไม่ทันจะแก่เลย เฮ้อ… ไม่พูดด้วยล่ะ กลับบ้านดีกว่า (น่าน้อยใจจริงๆ เลย…)

Wednesday, June 13, 2007

ของฝากจากอดีตกิ๊ก

พี่ฐากูรฝากขนมเค้กโอเรียลเต็ล ๑ ชิ้น (เล็กๆ) กับเทลเลอร์มาให้เรา เรางี้ปลื้มใหญ่ จนพี่ณัฐต้องเบรคว่า แค่นี้ทำเป็นปลื้ม ทีริทซ์ได้เค้ก ๑ ปอนด์จากพี่ฐากูร ไม่เห็นจะอวดเลย อ้าว! เฮ้ย! อะไรกันนี่…

แต่จากงานนี้เลยทำให้หลายคนที่ไซท์เชื่อว่า เราเคยเป็นแฟนกับพี่ฐากูรจริง เทลเลอร์ถึงกับมาปลอบใจเราว่า ดีแล้วที่เลิกกันไปกับพี่ฐากรู เพราะคนที่ทำงานสายงานนี้ งานจะเยอะ พี่ฐากูรจะไม่มีเวลามาดูแลเราหรอก ฮ้า… ชักจะเหมือนจริงแล้วนะเนี่ย…

Wednesday, June 6, 2007

อดีตกิ๊ก

วงการก่อสร้างมันก็แคบๆ วนไปวนมาอยู่แค่นี้ เพราะในที่สุดเรากับพี่ฐากูรก็วนมาเจอกัน หลังจากที่แยกย้ายจาก รร. โบวิสไปร่วม ๘ ปี คราวนี้พี่ฐากูรมาเป็น PM ที่โครงการโอเรียลเต็ล และได้ Award ให้ Mutiara เป็นผู้รับเหมา ทาง Mutiara ก็เริ่มแอบดึงคนจากไซท์เราไปทำงานที่โอเรียลเต็ล เราเลยบอก PM ของ Mutiara ว่า ห้ามดึงซุปฯ ไปเด็ดขาด ถ้าจะเอาใครไป ต้องแจ้งเราก่อน ไอ้แจ๊คที่บังเอิญอยู่ในห้องประชุมตอนนั้นก็พูดสวนมาว่า เราจะรู้ได้งัยถ้ามันแอบดึงไป เราเลยพูดเรียบๆ ว่า "I'll know coz I was Khun Takul's girlfriend." เท่านั้นแหละ Andrew เลยรีบสารภาพว่า "Just only once a week, Khun Ning. I have to attend the meeting there." เลยเป็นอันว่า เรายังสามารถยื้อคนของผู้รับเหมาได้อีกพักนึง แต่เห็นที่ต้องรีบๆ ทำงานให้เสร็จซะแล้ว เพราะเดี๋ยวช่างจะหายไปหมดไซท์ซะก่อนเน้อ…

Friday, June 1, 2007

เด็กไฮเปอร์

ตั้งแต่แจ้ย้ายมาอยู่หาดใหญ่ เราก็กลับบ้านสะดวกขึ้น เพราะสามารถติดรถแจ้กลับบ้านได้ วันนี้พอเด็ดๆ เรียนเสร็จ ก็รีบกลับบ้านกัน พอฟ้าขึ้นรถปุ๊ป ก็หลับปั๊ป เราเลยนึกสงสารหลาน ไม่รู้มันเรียนหนักไปรึป่าว เพราะดูจากการบ้านแล้ว ก็เยอะใช้ได้ ขนาดต้องมีสมุดจดการบ้านอีก ๑ เล่ม ท่าทางทาง รร. จะให้การบ้านกันเป็นล่ำเป็นสันเลยนะเนี่ย แต่แจ้บอกว่า เด็กชั้น ป. ๑ จะเป็นแบบนี้ เพราะไม่ได้นอนกลางวันเหมือนสมัยอนุบาล และเรียนหนักขึ้นอีกตะหาก พอหัวค่ำ ฟ้าก็ง่วงแล้ว แต่คิดว่าอีกซักพักคงปรับตัวได้ ในขณะที่คุณหนูเล็กมุกไม่ยักหลับ แถมพูดโน่นนี่ไม่หยุด แล้วถ้าเรากับแจ้ไม่ฟัง มันยังโวยอีกตะหาก แจ้บอกว่า คราวทีแล้ว มุกก็พูดไม่หยุด จนหมะต้องบ่นว่า ทำไมมุกไม่ยอมนอน คราวนี้เราเลยต้องร้องเพลง "นิ้วโป้งอยู่หนาย" ไปจนถึง "นิ้วก้อยอยู่หนาย" กับมุกประมาณ ๙๘ รอบ (มุกไม่เบื่อเลย...) ก็ถึงยะลาพอดี เฮ้อ… เหนื่อยจัง…