Sunday, December 31, 2006

สรุปปี ๔๙

ตอนกินข้าวเย็น ก็มีข่าวกรุงเทพฯ โดนระเบิดทั้งหมด ๗ จุด ด้วยกัน มีคนตายด้วย เฮ้อ… จะไปกันใหญ่แล้ว แล้วอย่างนี้จะมีนักท่องเที่ยวที่ไหนกล้ามาเมืองไทยละเนี่ย ช่างเป็นการส่งท้ายปีที่แย่จริงๆ งานนี้ช่อง ๓ กับ Central เซ็งสุดๆ เพราะเตรียมจัดรายการ Count Down ใหญ่ยักษ์เอาไว้ เลยต้องยกเลิกรายการไปเลย ซึ่งเราว่าผู้ว่าฯ อภิรักษ์ก็ตัดสินใจถูกแล้วนะ เพราะถ้าระเบิดขึ้นมาจริงๆ ตายกันเป็นร้อยแน่ และในที่สุดก็ปรากฎว่ามีการวางระเบิดที่บริเวณจัดงานจริงๆ เดชะบุญที่กู้ได้ทัน

anyway สำหรับตัวเราปีนี้ก็เป็นอีกปีที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว-ไวเหมือนโกหก ตอนแรกเราคิดว่า ปีนี้จะเป็นปีที่ดีมากๆ ของชีวิตเรา เพราะเราได้มีคอนโดเป็นของตัวเองเป็นครั้งแรก ตอนเราเห็นชื่อตัวเองตรงคำว่า "เจ้าของบ้าน" เรางี้ภูมิใจสุดๆ แล้วเราก็ได้งานใหม่ที่ TCC ได้เพื่อนใหม่นิสัยดีอย่างปุกและดุ๊ก และที่สำคัญเราได้รู้จัก "เกี๊ยก" หลังจากที่คลาดไปมาหลายรอบ ที่สำคัญ เราจะได้เกษียณต้นปีหน้า แต่เราก็มีจุดหักมุมอย่างรุนแรง เพราะเราดันไม่สบาย ต้องผ่าตัด เอารังไข่ออกไปข้างนึง ทำเอาเราอึ้งกับชีวิตไปพักใหญ่ เพราะเราอยากมีลูกสุดๆ แถมแจ้ก็ไม่ได้ทำประกันแบบสุขภาพให้เราซะด้วย เราเลยต้องเอาเงินเก็บหลังเกษียณเรามาใช้ ดีที่หมะช่วยเราออกเงินตั้งครึ่งนึง เราเลยต้องเก็บเงินใหม่ เลื่อนกำหนดการเกษียณออกไป แล้วพี่ณัฐก็ขอร้องให้เรามาทำงานที่ภูเก็ต เราต้องลงมาปรับตัวที่ภูเก็ตอีกพักนึง เลยสรุปรวมๆ ว่า ปีนี้เรามีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเรามาก ซึ่งมีทั้งดีมากและไม่ดีมาก รวมแล้วเป็น "ศูนย์" พอดี จากนี้ไป เราก็ได้แต่หวังว่า ปีหน้าจะเป็นอีกปีที่เรามีความสุขในชีวิต และคิดออกว่าเราจะทำงัยกับชีวิตที่เหลือ สาธุ!

Saturday, December 30, 2006

แน่ใจ?

ปกติที่บ้านเราไม่หยุด ๓๐ ธันวา แต่ปีนี้ต้องหยุด เพราะวันที่ ๓๐ ตรงกับวันรายอ (วันตรุษแขก) เลยกลายเป็น long holiday เพราะหยุด ๓ วันรวด เราเลยชวนเกี๊ยกไปดูหนังที่หาดใหญ่ แต่เกี๊ยกปฏิเสธอย่างสุภาพมาก โดยอ้างว่าต้องทำงาน เราก็งงๆ ว่าไม่หยุดเหรอ เกี๊ยกบอกว่า ไม่หยุด แถมต้องทำงานมากกว่าเดิมอีก เพราะต้องทำงานแทนคนงานที่หยุด เราฟังแล้งก็อึ้งๆ ไป นี่เราตัดสินใจถูกรึป่าวเนี่ย… ถึงเราจะชอบคนขยันทำงานก็เหอะ แต่อันนี้มันมากไปรึป่าววะ… -_-" แถมในขณะที่เรากำลังอยู่ในอาการมึนๆ -งงๆ อยู่นั้น ส่วนก็เปรยๆ ขึ้นมาว่า เราแน่ใจเรื่องเกี๊ยกแล้วเหรอ เพราะเราดูเป็นคน Active ในขณะที่เกี๊ยกเป็นคนเรื่อยๆ มาเรียงๆ จนออกจะเฉื่อยๆ ซะด้วยซ้ำ ทำเอาเราเลยชักมีอาการลังเลใจขึ้นมาเล็กน้อย เฮ้อ… ชักกลุ้มวุ๊…

พอดีแจ้เอามุกมากินข้าวเที่ยงที่บ้านเรา เราเลยถือโอกาสเล่นกับหลาน แถมจับมุกหัดล้างจานด้วย (น่ารักจริงๆ เลย) แล้วพาไปอาบน้ำ แต่เอาเข้านอนไม่สำเร็จ แจ้ต้องมาเอามุกนอน แล้วถึงค่อยไปนวดหน้า เราก็หลับไปพร้อมมุก พอมุกตื่นก็อยู่เล่นกับมุกต่อ จนแจ้มารับกลับไปนั่นแหละถึงได้เสร็จหน้าที่ แล้วถึงได้แวบมาดูเหวินเฉียงแป๊ปนึง คราวนี้มันตัวใหญ่ขึ้นมาก เราเลยกล้าอุ้มแป๊ปนึง เอาไว้โตกว่านี้ เอ้อกูค่อยเล่นกับหนูนะคะ ว่าแล้วก็ "สะกดจิต" เหวินเฉียงอีกรอบก่อนที่มันจะหลับไป หุหุหุ…

Friday, December 29, 2006

คิดไปเอง

เราหลับเพลินไปหน่อย เลยโทรบอกเกี๊ยกแต่เนิ่นๆ ไม่ทัน จนรถติดท่าเราถึงได้โทรบอก ในใจคิดว่า ซวยแน่ตู ต้องรอคนเดียวอีกแล้ว น่ากลัวโคตร เพราะถึงแม้ว่าคราวนี้รถจะเข้าสายไปครึ่ง ชม. ก็เถอะ ตีสี่ครึ่งก็เช้าและโคตรน่ากลัวอยู่ดี แต่ปรากฎว่าพอรถถึงเกี๊ยกก็มารอเราอยู่แล้ว โอ๊ย ดีใจจริงๆ ^_^ พอถึงบ้านเกี๊ยกเราก็ทำท่าจะหลับเลย เพราะยังเหนื่อยไม่หาย (ป้าแก่แล้ว) แต่เกี๊ยกเรียกให้เรามากินขนมก่อน เราเลยถือโอกาสสังเกตตลอดตั้งแต่ตอนเกี๊ยงชงชาจนยกขึ้นจิบว่าจะมีอาการ "นิ้วก้อยกระเด็น" รึป่าว ลุ้นหัวใจจะวาย แถมเห็นภาพ หห. จางๆ อยู่ข้างหลังเกี๊ยก เฮ้อ… บ้าไปแล้ว -_-" แต่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะเกี๊ยกถือแก้วกินน้ำด้วยท่าทางปกติแบบชายไทยทั่วไป เย้ๆๆ ^_^ เราเลยหลับไปด้วยความสบายใจ

ตื่นมาอีกที ที่บ้านเกี๊ยกกำลังวุ่นวายกับการจัดของไหว้เจ้าอยู่ เพราะวันนี้เป็น "วันเปลี่ยนกระถางธูป" (บ้านเราไม่ยักมีธรรมเนียมนี้แฮะ) เราเลยช่วยเขาจัดๆ แบบว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายฯ อะไรประมาณนี้ แถมช่วยเก็บของไหว้จนเสร็จอีกตะหากจนเรียบร้อย แล้วเกี๊ยกถึงพาเราไปส่งที่ท่ารถไปยะลา คราวนี้ให้เรากลับเองอีกแล้วเพราะติดภารกิจต้องพาพี่สาวทั้ง ๒ คน ไปงานแต่งงานญาติคนนึงที่เทพา เฮ้อ… กลับถึงบ้านเราก็หลับทั้งวันด้วยความเหนื่อยตามเคย

หมะมาแอบถามทีหลังว่า ไปช่วยเขาจัดของไหว้แบบนี้จะเป็นการออกนอกหน้าไปไม๊ เราตอบอย่างมั่นใจเลยว่า "ไม่ หนิงไม่ไปไหว้พร้อมเกี๊ยกก็ถือว่าดีมากแล้วนะ" ทำเอาหมะตะลึงตึงๆ ไปเลย แล้วก็ถามว่าเกี๊ยกมารอเราที่ท่ารถรึป่าว เราเลยโกหกว่า ไม่ต้องห่วงหรอก เพราะเราโทรบอกเกี๊ยกก่อนอยู่แล้ว ก็เราก็กลัวเหมือนกันหนิ แต่หมะก็ถามซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นจนเราชักสงสัย หมะเลยต้องสารภาพความจริงว่า หมะให้ป๊าโทรไปย้ำกับเกี๊ยกว่าให้มารอเรา อย่าให้เรามารอเกี๊ยก ฮ้า… มิน่าล่ะ เกี๊ยกถึงโทรหาเราก่อนที่เราจะถึงตั้ง ๒ รอบ ที่แท้เพราะโดนป๊าสั่งนี่เอง เฮ้อ… ไอ้เราก็หลงคิดว่าเฮียเป็นห่วงเรา เพราะเห็นย้ำนักย้ำหนาว่าให้เราโทรบอกแต่เนิ่นๆ เพราะไม่อยากให้เรารออยู่ที่ท่ารถคนเดียวในเวลาเช้ามืดขนาดนั้น แหม… คิดไปเองอีกแล้ว น่าอายจริงๆ…

Thursday, December 28, 2006

อำลาคุยคุ้ยข่าว

ไหนบอกว่ามีประชุมบ่าย ๒ วะ ยกเลิกก็ดันไม่บอก เราเลยต้องรอคุณติ๊กถึงบ่าย ๒ เพราะโทรหาแกไม่ได้ เลยกลัวว่าแกจะไม่รู้เรื่อง ก็เมื่อวานแกเป็นคนบอกเรานี่นาว่า ประชุมเลื่อนจาก ๑๐ โมง เป็นบ่าย ๒ เราก็รีๆ รอๆ อยู่ถึงบ่ายสองครึ่ง เห็นท่าแกไม่มาแน่แล้ว (คงจะรู้เรื่องแล้งละมั๊ง) เลยกลับหอมาเก็บของกลับยะลา รู้งี้ตรูกลับตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เฮ้อ…

คืนนี้นั่งดู "คุยคุ้ยข่าว" ที่เราเป็นแฟนคลับอยู่เป็นนานด้วยอาการลุ้นว่า "สรยุทธและกนก" จะกลับมาจัดรายการด้วยกันอีก แต่ทางรายการกลับประกาศอย่างเป็นทางการว่า จะหยุดจัดรายการหลังปีใหม่นี้เป็นแน่ ทำเอาเราเซ็งหน่อยๆ เพราะปกติเราไม่ใช่คนชอบดูข่าว เราเลยชอบดูรายการนี้ เพราะเป็นการรายงานข่าวแบบขำๆ สั้นๆ ใช้เวลาไม่นาน พอดีกับความสนใจที่เรามีให้รายการข่าวพอดี ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็ไม่ใช่พวกปลื้ม "สรยุทธ" หรอกนะ แต่เราว่าเวลา "สรยุทธ" จัดรายการคู่กับ "กนก" แล้ว เราว่าลงตัวมาก มันจะออกแนวขำๆ และได้อารมณ์ "ชาวบ้าน" ดี (เราเคยดู ๒ คนนี่จัดรายการแยกกันแล้วรู้สึกว่า รายการมันช่างน่าเบื่อเอาจริงๆ) ที่สำคัญ คือ พิธีกรคู่นี้ไม่ใช่พวกปลื้ม "ทักษิณ" และไม่ใช่พวกปลื้ม "สนธิ - นักประท้วง" เวลาเล่าข่าวการเมืองทีไร ฟังแล้ว "เข้าหู" มาก (ข่าวจริงๆ มักจะเป็นการรายงานผลงานของรัฐบาล หรือไม่ก็ออกแนวพวกนักประท้วงกำลังทำให้บ้านเมืองแตกแยก ดูทีไรกลุ้มใจทุกที) เลยให้นึกเสียดาย และได้แต่หวังว่า หลังจากที่ ๒ คนนี้แยกกันไปซักพัก น่าจะมีกระแสเรียกร้องให้มาจัดรายการคู่กันอีกไวๆ แล้วเราจะรีบ message ไปเชียร์ด้วยคนเลย จริงๆ นะ…

Tuesday, December 26, 2006

ปิ๊กภูเก็ตแล้วก๋า

ไผแวะมารับของคืน แล้วเลยได้คุยกับปุ๊กกับหมูด้วย ก็ขำๆ กันดี เราเล่าเรื่องกางเต๊นท์ไม่สำเร็จให้ไผฟัง แล้วรีบแก้ตัวว่า มันไม่มีวิชากางเต๊นท์ใน Structural Analysis นะ ไผบอกว่า "ให้เอาน้ำเทลงไปแก้วนึง ดินก็จะนิ่ม คราวนี้ก็จะสามารถปักสมอได้สบายๆ โดยไม่ต้องใช้ฆ้อน อันนี้อยู่ใน Soil Mechanics I" เราเลยถึงบางอ้อ เออ นั่นสินะ ลืมได้งัยเนี่ย… -_-" เอาไว้แก้ตัวคราวหน้าก็แล้วกันนะหมู แล้วเราก็โทรหาเฮียอ๊อดอีกรอบ ก็ยังไม่สำเร็จ เราเลยตัดสินใจไปเที่ยวกับชาวคณะต่อ เลยโดนแซวว่า พอหมอดูทักว่าไม่ควรทำกิจการส่วนตัวก็เลยไม่ไปดูงานเชียวนะ เลยตอบว่า "ชั้นจะให้สามีเลี้ยงตะหาก เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องทำงาน" ปุ๊กแซวว่า "น้ำตาตกทุกวัน ๑๐ ปีเลยนะ คิดให้ดี" เราก็ยืนยันว่าไม่กลัว "สี" ทนได้

วันนี้เหมารถสองแถวเที่ยว ๕๐๐ บาท หรือ ๗๐๐ บาท นี่แหละไม่ค่อยแน่ใจ โดยเริ่มที่การไปไหว้พระที่วัด คราวนี้ไว้ ๓ วัด วัดแรก คือ วัดเจดีย์ ๗ ยอด ส่วนอีก ๒ วัด จำชื่อไม่ได้อีกตามเคย แล้วก็ไปร้าน Love at First Bite แต่คนเยอะมาก เต็มไปด้วยรถทะเบียน กทม. ตามที่นังไผมันประชดจริงๆ เลยตัดสินใจไม่แวะกัน ตรงไปที่ตลาดผ้า (ที่ไผแนะนำ) อยู่ใกล้ๆ กับตลาดวโรรส ระหว่างทางมีศาลเจ้าอยู่ หญิงหันมาถามเราว่า คราวนี้เราไหว้พระครบ ๙ วัดรึป่าว ไล่มาจากฮ่อกงเลย ก็ช่วยๆ กันนับ หญิงนับพระองค์ใหญ่ที่เราไหว้กันอยู่ไกลๆ ตอนที่อยู่ฮ่องกงด้วย ก็ครบ ๙ วัด พอดี เราเลยแซวว่า "ถ้าอย่างนั้นชั้นน่ะไหว้ครบ ๙ วัด แต่เธอไหว้ไม่ครบ เพราะที่วัดกองมู เธอมัวแต่โทรศัพท์อยู่" หญิงเลยรีบพุ่งเข้าไปไหว้ศาลเจ้าทันที เลยกลายเป็นว่า ปีใหม่นี้เราไหว้พระ ๑๐ วัด ไม่ใช่ ๙ วัด ; p ว่าแล้วก็เดินตลาดผ้าต่อ เรา, ปุ๊ก และหมู ได้กางเกงมาคนละตัว แล้วก็ไปต่อกันที่ตลาดวโรรส แต่เราดันเฟอะฟะลืมมือถือไว้ที่ร้านกางเกง เลยต้องย้อนกลับไปเอา เฮ้อ… หมู่นี้ป้ามากเลย เดี๋ยวลืมโน่นเดี๋ยวลืมนี้ เสร็จแล้วก็ไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านข้าวซอยฟ้าฮ่ามอีกแล้ว แต่คราวนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยอร่อย เนื้อออกจะแข็งๆ สงสัยจะเป็นเพราะที่ร้านไม่มีเวลาเคี่ยว ต้องรีบเอาออกมาขายให้ทันกับลูกค้า

พอกลับมาถึงโรงแรม ก็ให้มีการโมโหกันอีกรอบ เพราะทางโรงแรมงก (หรือจัดการไม่ดีก็ไม่รู้) ไม่ยอมเตรียมรถให้พวกเรา ๒ คัน พยายามจับคณะเรากับอีกคณะรวม ๑๑ คน ขึ้นรถตู้คันเดียวกันให้ได้ แล้วจะเอากระเป๋าไปไว้ที่ไหนละเนี่ย เพราะของเยอะกันทุกคน สุดท้ายก็ช่วยๆ กัน นั่งยัดๆ อุ้มของไว้บนตักบ้าง ก็เบียดๆ กันไป เรานึกในใจ ไม่เอาอีกแล้วโรงแรมเชียงใหม่ ฮิลล์ เนี่ย พอถึงสนามบิน เราขอเช็คทรู เพราะเราจะบินต่อไปภูเก็ตเลย เลยให้ลุ้นๆ ว่า กระเป๋าเราจะไปถึงภูเก็ตไม๊ เพราะไม่ค่อยมั่นใจไอ้สุวรรณภูมินี่เลย แถมเราซื้อตั๋วแยกตอนอีกต่างหาก และหมู่นี้เราใช้ดวงไปเยอะมาก เดี๋ยวกล้องหาย เดี๋ยวกระเป๋าหาย แต่ก็ขี้เกียจเช็คอิน ๒ รอบ เลยตัดสินใจเสี่ยงดวงดูอีกรอบ

แล้วก็ถึง กทม. โดยสวัดิภาพ ส่วนเราก็แยกตัวต่อไปภูเก็ต และแล้วไฟล์ทไปภูเก็ตก็เลท นี่อิชั้นอุตส่าห์ทุ่มทุนการบินไทยแล้วนะเนี่ย เลยต้องโทรบอกตั้มก่อน เดี๋ยวมันจะรอเงกพอดี แล้วก็โทรหาเกี๊ยกย้ำว่า เราจะกลับบ้านคืน ๒๘ ให้ไปรับเราด้วย คราวนี้เกี๊ยกคุยกับเรานานเลย แบบว่าไม่ได้คุยกันยาวๆ นานแล้ว เออ… เอาเข้าจริงๆ เฮียก็คุยเก่งเหมือนกันนะเนี่ย… ไฟล์ทถึงภูเก็ตเกือบเที่ยงคืน และแล้วกระเป๋าเราก็กลิ้งออกมา ฮ้า… ไม่อยากจะเชื่อเลย… กว่าตั้มจะส่งเราที่หอ กว่าจะได้นอนก็ตี ๑ ครึ่ง เหนื่อยจริงๆ เป็นอันว่า long holiday ของเราจบแต่เพียงเท่านี้ (พรุ่งนี้ไม่อยากไปทำงานเล๊ย…) ส่วนหญิงจะต่อทริปไป count down ที่ดูไบกับที่บ้านในอีก ๒ วันข้างหน้า นี่สิถึงนับเป็นหญิงโสดรายได้ดีตัวจริง!

Monday, December 25, 2006

งานราชพฤกษ์





เรา, หญิง และหมูนัดกันใส่เสื้อสีเหลืองเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศงาน ซึ่งขาไปงานก็สะดวกมาก เพราะมีรถจากการบินไทยมารับไปงานราชพฤกษ์ หลังจากประเดิมซื้อของกันที่หน้างานแล้ว (เราได้ Magnet มา ๒ อัน) และคิวนั่งรถเวียนแล้ว คณะเราก็แบ่งเป็น ๒ คณะ เพราะสาวๆ อยากดูสวนอินเตอร์ฯ ก่อน ในขณะที่ป้าน้อย, แม่ กับพี่จอม บอกว่า เดินไกล จะดูอะไรใกล้ๆ นี่แหละ เอาไว้เจอกันอีกทีตอนกินข้าวเที่ยงละกัน พวกเราก็ไล่ถ่ายรูปกันอย่างเมามัน และแน่นอนเราต้องพุ่งไปที่ "สวนภูฏาน" แต่ที่เราชอบมากๆ อีกอันก็คือ สวนเบลเยี่ยม เราว่าสร้างสรรค์ดี เพราะเขาทำเป็นรูปกรวยมีต้นไม้จริงและปลอมปนกัน low maintenance อีกตะหาก ส่วนสวนฮอลแลนด์ เป็นไปตามคาด คือ ดอกทิวลิปเหี่ยวหมดแล้วเหลือแต่แพงพวย ปุ๊กพูดแกมประชดว่างัยก็ต้องถ่ายรูปให้รูปป้ายกังหันลมกับดอกทิวลิบให้ได้ แต่ขอชื่นชมหอคำหลวงว่าสวยมากๆ และสวยในทุกมุม พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ อากาศก็เริ่มร้อน และ ๔ ป้าก็เริ่มหนื่อย บังเอิญมีเรือนไทยให้บริการนวดอยู่ ปุ๊กเลยพุ่งเข้าไปนวด แล้วเลยบอกให้เรา "ดูดวง" ระหว่างรอ หมูกับหญิงเลยตกลงจะดูด้วย หญิงบอกให้เราดูก่อนเพื่อเป็นการเช็คว่า หมอแม่นจริงรึป่าว เราเลยถามว่า "ถ้าหมอบอกว่าชั้นได้แต่งงานล่ะ เธอจะดูต่อไม๊" หญิงตอบว่า "ไม่" อ้าว! ที่ไหนได้ ปุ๊กนวดเสร็จแล้ว เราก็ยังไม่ได้ดูหมอ แต่เนื่องจากใกล้ถึงคิวแล้ว เลยตกลงรอต่อไปอย่างอดทนหลังจากที่รอมาร่วม ๒ ชม. คุยกันจนน้ำลายบูด หมูก็ไปให้เขาทำพิธีผูกข้อมือบายศรีจนเสร็จ กลับมาเขียนโปสการ์ดรอต่อ ก็ยังไม่ได้ดู

รออยู่เกือบ ๓ ชม. ถึงจะถึงตาเราได้ดูหมอ คำถามแรกเราถามเรื่องงานก่อน พ่อหมอบอกว่า เราทำงานที่กรุงเทพฯ ดีกว่า ภูเก็ตก็ได้ แต่ไม่ใช่ยะลา เราต้องอยู่สูงๆ กว่าบ้านเกิด เราเลยถามว่า หาดใหญ่ดีไม๊ (ไม่กล้าถามเจาะจงเป็นปัตตานี เพราะรู้สึกว่ามัน specific ไปหน่อย ; p) แกก็ตอกบว่า ดีกว่ายะลา อันนี้ปุ๊กมาบอกทีหลังว่า แน่นอนล่ะ ก็ตอนนี้ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้มันออกจะแย่นิ ใครก็ต้องตอบแบบนี้ แถมพ่อหมอบอกว่า เราเหมาะเป็นลูกจ้าง ไม่เหมาะทำกิจการของตังเอง ถ้าหุ้น จะโดนหุ้นส่วนโกงจนหมดตัว ฮ้า… ส่วนเรื่องความรัก พ่อหมอบอกว่า เนื้อคู่เราควรเป็นคนต่างชาติ อายุมากกว่าเรา ๑ รอบ เราเลยอุทานว่า งั้นเขาก็ต้องแก่มากเลยซิคะ แกก็ปลอบใจว่า ถือว่าไม่แก่หรอก เราเลยคิดว่า งั้นเนื้อคู่เราคงจะเป็นใครไปไม่ได้แล้วนอกจาก "ลุงเอิร์ด" ซึ่งเป็น MD เพราะบรรดาฝรั่ง Director คนอื่นๆ ดูยังงัยก็ห่างเราไม่เกินรอบนึง อ้าว งั้นพี่ Anthony ก็ไม่ใช่อะดิ เราเลยถามต่อว่า "งั้นคนที่คบกันอยู่ก็ไม่ใช่ซิคะ" แกบอกว่า ถ้าเราแต่งกับคนนี้ เราจะน้ำตาตกไป ๑๐ ปี แถมตกทุกวันด้วย ฮ้า… หญิงฟังคำทำนายเราเสร็จ เลยเปลี่ยนใจไม่ดูหมอแล้ว (เป็นงั้นไป นี่ขนาดหมอบอกว่าเกี๊ยกไม่ใช่คู่เรานะ สงสัยหญิงจะคิดว่าหมอดูแม่น -_-") แต่หมูยังยืนยันดูเหมือนเดิม ดวงเนื้อคู่ของหมูคล้ายเรา คือ ควรเป็นคนต่างชาติ อายุห่างกันมากๆ หมูถามว่า งั้นไม่แต่งดีกว่าไม๊ พ่อหมอบอกว่า "ดวงอยู่คนเดียวดีกว่าแต่งงาน แต่มันหลีกเลี่ยงไม่ได้" ฮ้า… เห็นทีป้าๆ จะได้กินโต๊ะจีนงานแต่งหมูในอีก ๒-๓ ปี ข้างหน้าเป็นแน่

หลังจากนั่งอู้ไป ๓ ชม. ทีนี้ป้าๆ ก็ออกตระเวณถ่ายรูปกันต่อ คราวนี้เป็นส่วนสวนองค์กร ขอชมว่า รูปปั้นช้างของ ธ. กสิกรสวยมาก แล้วไปรอดูการแสดงม่านน้ำตอน ๑ ทุ่ม ซึ่งคนมารอดูเยอะมากๆ แต่ก็แสดงได้งั้นๆ รู้สึกว่าภาพกับหัวข้อจะไม่ค่อย match แถมได้มุมไม่ดีเท่าไร ดูอยู่ได้พักนึง ก็เลิกดู ส่วนเราอยากดูพาเหรดต่อตอนทุ่มครึ่ง ก็ไม่ได้ดู เพราะขากลับพวกเรายกรถของการบินไทยให้แม่ๆ ไป แล้วต้องนั่งสองแถวกลับเอง ปุ๊กกลัวว่าอาจจะรอนาน เพราะคนเลิกพร้อมกันหมดเลย เลยตัดสินใจกลับก่อนงานเลิก ขากลับผ่านซุ้มไปรษณีย์เลยได้ส่งโปสการ์ดกันอีกรอบ ขากลับถกเถียงกันว่าจะกินข้าวเย็นที่ไหน เพราะถ้าไปกินข้าวต้มอีก จะกลับลำบาก เพราะแถวนั้นหารถยาก ปุ๊กเสนอให้กิน MK ที่มอลล์ใกล้ๆ เราเลยขอเปลี่ยนเป็นกินข้าวที่โรงแรมดีกว่า อย่างน้อยพ่อครัวก็คงเป็นคนเหนือละวะ

เราพยายามโทรหาเฮียอ๊อดอีกรอบกะจะให้มารับเราที่โรงแรม แต่โทรหาไม่ได้ สงสัยว่าพรุ่งนี้เราจะไม่ได้ไปดูงานเค้กไอติมเป็นแน่ แต่เอาเถอะพอสำหรับวันนี้แล้ว เหนื่อย! นอนดีกว่า…

Sunday, December 24, 2006

เชียงใหม่

พอเช้ามา พี่จอมลุกไปอาบน้ำปุ๊ป เรางี้พุ่งขึ้นไปนอนบนเตียงเลย โดยมีหญิงพุ่งตามมาติดๆ ส่วนคนอื่นๆ ลุกไปถ่ายรูป-ชมวิวกัน ปุ๊กกับหมูไปแช่น้ำร้อนกันมากอีกตะหาก ส่วนเรากับหญิงนอนจนสาย กินข้าวเสร็จก็ขึ้นรถไปเชียงใหม่เลย แล้วก็แวะกินข้าวเที่ยงที่ร้านโป่งแยงแอ่งดอยตามระเบียบ คนเยอะมากเหมือนเคย เจอคนเสิร์ฟอารมณ์ไม่ดีอีกล่ะ คราวนี้พวกเราขอเมนู พี่แกตอบกว่า "ไม่ใช่หน้าที่ผม" แต่พอขออีกที คราวนี้มีลุงหัวหน้าอยู่ใกล้ๆ พี่แกก็หยิบให้โดยดี โธ่… ต่อหน้านายก็ทำเกินหน้าที่ได้นิ -_-" ความที่พี่จอมเป็นศิษย์เก่า มช. เลยสามารถพาเราเที่ยวเชียงใหม่ด้วย พี่จอมเลยพาไปไหว้พระ ๒ วัดด้วยกัน (จำชื่อวัดไม่ได้เสียแล้ว) วัดที่ ๒ เป็นวัดที่อยู่ในเมือง ใกล้ๆ กับถนนคนเดิน แล้วพวกเราก็เดินถนนคนเมืองกันต่อ ส่วนป้าน้อย, แม่ กับพี่จอมกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม เป็นอันว่าพี่คนขับรถตู้หมดหน้าที่แต่เพียงเท่านี้ ส่วนพวกเราก็เดินไป-กินไป ปุ๊กซื้อกางเกงสำเร็จแล้ว แถมบอกว่า "เซ็งแม้ว เพราะแม้วขายแพงกว่า" แล้วก็นั่งสองแถวไปกินข้ามต้มร้านดังกันแถวๆ หน้ามอ. ตามด้วย "นลนมสด-เชียงใหม่" เพราะอยู่ใกล้ๆ เดินกันถึง ส่วน "มลนมสด-กรุงเทพฯ สาขาเชียงใหม่" เก็บไว้กินพรุ่งนี้ละกัน แล้วก็เรียกรถตุ๊กๆ กลับโรงแรม

Saturday, December 23, 2006

ห้วยน้ำดัง




กินข้าวเช้า ๙ โมงเช้า ที่อุณหภูมิ ๙ องศา ปุ๊กกลัวไม่สะใจ เลยเลือกนั่งแบบ outdoor ให้น้ำค้างลงให้มันเย็นหัวเข้าไปอีก แล้วก็ Check out ก่อนออกจากปาย ก็แวะไปถ่ายรูปที่ Belle Villa Resort ซึ่งจัดเป็นรีสอร์ทชั้นแนวหน้าของที่นั่น ราคาใกล้เคียงกับที่เราพัก แต่ไม่ติดแม่น้ำปาย (แม่น้ำปายสีคล้ายกับ "น้ำคาน" เลย เพียงแต่เล็กกว่าเท่านั้นเอง เราคิดว่าถ้าเล่นล่องห่วงยางอย่างน้ำคานก็น่าจะสนุกนะ แถมพนักงานที่รีสอร์ทชวนให้มาพักอีกตอนช่วงสงกรานต์ บอกว่าให้มาเล่นสงกรานต์โดยเอาน้ำในแม่น้ำปายมาสาด เธอบอกว่า "ม่วนขนาดเจ้า" อืม น่าสนใจแฮะ แต่เราอยากมาตอนหน้าหนาวมากกว่า มาอยู่ซัก ๓ วัน ไม่ไปไหนเลย น่าจะเวิร์คกว่า) ถ่ายรูปเสร็จ ก็แถมใช้บริการห้องน้ำด้วย เพราะหมูบอกว่า ห้องน้ำน่ารักมาก เออ… ก็น่ารักจริงๆ นั่นแหละ ส่วนปุ๊กกับหญิงไปแอบดูห้องของ Belle ด้วย หญิงบอกว่า Layout ก็เหมือนของที่เราพักนั่นแหละ คือ ในห้องแคบๆ แต่ห้องน้ำใหญ่ อ้าว! ที่แท้มันเป็น Typical Layout หรือนี่

แล้วก็ไป "ปางมะผ้า" กัน (ตอนแรกเราบอกให้แวะ Pai Canyon ก่อน แต่ปุ๊กบอกว่า ทางเข้าโหด เลยต้องข้ามไป ไม่เป็นไร มันคงไม่ได้อลังฯ เหมือน Grand Canyon หรอก) ก่อนถึงปางมะผ้า จะเป็นจุดชมวิวหนึ่งในหลายๆ จุดของอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ก็แวะถ่ายรูปกัน แม่กับป้าน้อยช้อปกันใหญ่ ได้ผ้าพันคลุมไหล่มา ๒-๓ ผืน ลายสวยที่เดียว ส่วนเราได้หมวกผ้าสักหลาดสีแดงลายกวางน้อยใบละ ๕๐ บาท มา ๑ ใบ (ถูกดี ซื้อมาใส่เล่นรับเทศกาลดีกว่า) ส่วนปุ๊กจะซื้อกางเกงพื้นเมือง แต่ต่อแม้วอยู่เป็นนาน แม้วก็ไม่ยอม เลยอดไป พอไปถึง "ปางมะผ้า" เราก็ผิดหวังหน่อยๆ เพราะปุ๊กบอกว่า เป็นที่จิบกาแฟ-ชมวิว ลงใน "พันทิป" เชียวนะ แต่พอไปถึง มันไม่มีวิวให้ชมอ่ะ เพราะมันติดถนน และถ้าจะชมวิว ก็มีลำธารเล็กๆ อยู่ด้านหลังร้าน แหม… อุตส่งห์นั่งรถอ้อมมาตั้งไกล ไอ้เราก็วาดฝันว่า มันจะวิวเหมือนร้านกาแฟตามดอยต่างๆ อ่ะ -_-“

กินกาแฟเสร็จ ก็นั่งรถกลับมากินข้างเที่ยงที่ "หมู่บ้านสันติชล" ซึ่งเป็นชุมชนคนจีนยูนาน คนในร้านเยอะมาก เพราะเป็นช่วงเทศกาล เรากับปุ๊กก็สั่งกันอย่างเมามัน ที่ขาดไม่ได้ คือ "ขาหมูยูนาน" รายการนี้สั่งกันถึง ๒ ขา (คณะเรามี ๘ คน รวมคนขับรถตู้) กินไปแป๊ปนึง พนักงานก็เอาปลานึ่งมาให้ เราก็งงๆ ว่าไม่ได้สั่ง เพราะจำได้ว่า ตอนแรกเธอบอกว่าไม่มี เราเลยเปลี่ยนไปสั่งอย่างอื่น แต่เนื่องจากอาหารบนโต๊ะดูจะไม่พอ ปุ๊กเลยว่า "เอาก็ได้" เธอกลับบอกว่า "เอาก็ได้ ไม่ได้นะ เพราะจดไปแล้ว" ทำเอาพวกเรามึนกันทั้งโต๊ะ แต่ความที่หน้าตาเธอดุดันมาก คงจะเหนื่อย-หงุดหงิดที่คนเยอะมาก เรากลัวว่าเธอจะฉุนจนเอาปลาคว่ำลงมาบนหัวเรา เลยต้องรีบคว้าจานปลานึ่งมาวางบนโต๊ะ และความที่เราอยู่ใน Holiday Mood กัน เลยเอามาเล่นมุกขำๆ กันในโต๊ะอาหารแทน กินข้าวเสร็จก็ชมร้านของชาวหมู่บ้านกันหน่อย เราซื้อชาฝากป๊ากับหมะ แล้วก็ลองชิม "บ้วยความรัก" เอาฤกษ์-เอาชัยซะหน่อย แล้วเลยเห็นว่าที่หมู่บ้านมี "ชิงช้า" ให้เล่น หน้าตาเหมือนที่เราเห็นในทีวีเมื่อวันก่อน เราดูแล้วหวาดเสียว เลยไม่กล้าเล่น แต่หมูกล้า! เลยให้เด็กๆ แถวนั้นช่วยกันยกชิงช้า แต่ก็ไม่ครบรอบ ได้แค่ครึ่งรอบ ซึ่งหมูบอกว่าก็โอแล้วล่ะ เพราะก็หวาดเสียวใช้ได้แล้ว

แล้วก็ไปโป่งน้ำร้อนกันต่อ คราวนี้พวกเรามีประสบการณ์ "ต้มไข่" มาแล้ว เลยจับไข่มาลองเขย่าๆ ดูก่อน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไม่ต้ม แค่ไปนั่งแช่ๆ ก็พอ แต่สาวๆ อยากเดินให้สูงขึ้นไปอีก เพราะยิ่งสูง (เดินลึกเข้าไป) จะยิ่งร้อน พอไปเดินไปถึงบ่อสุดท้ายที่อณุหภูมิ ๘๐ องศา มีป้ายเขียนว่า "ห้ามต้มไข่" คุณหญิงเธอเลยปีนข้ามรั้วไปถ่ายรูป แล้วบอกว่า "ห้ามต้มไข่ แต่ไม่ได้ห้ามข้ามรั้วมาถ่ายรูปนิ" เออ… มีงี้ด้วย พอขาลงก็มีเด็กผู้ชายสักอายุ ๒๐ ร้องโวยวาย จับได้ความว่า โดนน้ำร้อนลวก ต้องรีบเอาไปส่ง รพ. ผู้สื่อข่าวหญิงบอกว่า เห็นหนังหลุดเป็นแผ่นๆ เลย สงสัยเล่นกัน เลยพลาด แล้วเลยหนาวๆ ที่ตัวเองอุตริข้ามรั้วไปถ่ายรูปพอเข้าอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ก็แวะจุดถ่ายรูปอีกจุดนึง ก่อนเข้าที่พัก แล้วทหารก็บอกว่า จุดบ้านพักเรากางเต๊นท์ไม่ได้ ถ้าจะกาง ต้องไปกางที่ลานกางเต๊นท์ข้างล่าง แต่เรากับหมูกะจะกางตรงบ้านพักนั่นแหละ พอกินข้าวเสร็จเกือบ ๒ ทุ่ม (รสชาดโคตรจะธรรมดาเลย ถ้าใครเรื่องมากหน่อย คงต้องใช้คำว่า "ไม่อร่อย") เราก็รีบไปกางเต๊นท์กับหมูก่อน เพราะมันมืดมาก พอเปิดเต๊นท์ออกมา ปรากฎว่าเต๊นท์เหม็นอับมากจนเราบ่นว่าเหม็นกลิ่นอะไรวะ หมูยังมุขกลับ "กลิ่นผู้ชายงัย" เออ… เอากับมัน กว่าเรา ๒ คน จะเดาออกว่าต้องกางยังงัย ทุกคนก็กลับมาที่บ้านแล้ว พี่จอม, ปุ๊ก กับ หญิง เลยออกไปช่วยเรากับหมูกางเต๊นท์ ปรากฎว่า ดินแข็งมาก ตอกสมอไม่ได้เลย (ไม่มีฆ้อน เลยใช้รองเท้าตีเอา) หมูพยายามมากที่จะกางเต๊นท์โดยการไปดูงานที่บ้านข้างๆ และโทรถามเพื่อน แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ หญิงเม้าท์ว่า "นี่มันอารมณ์เก๋ส่งโปสการ์ชัดๆ" เราเลยต้องอ้างสิ่งศักดิ์ (ใกล้ๆ มีศาลเพียงตาเล็กๆ อยู่) ว่า ท่านคงไม่อยากให้เรากางอ่ะ และดูเหมือนหมูจะพยายามทุกทางแล้ว เลยเป็นอันยุติ Mission กางเต๊นท์ เราบอกว่า คราวหน้าไปซ้อมกลางที่บ้านไผก่อนก็แล้วกัน คืนนั้นเลยนอนในบ้านกันทุกคน แต่ความที่มี ๒ เตียง ปุ๊ก, หญิง กับเรา เลยนอนถุงนอนที่พื้นกระเบื้องซึ่งเย็นสุดๆ แอร์ก็ไม่ตัดเลย สรุปว่านอนแอร์หรือไม่แอร์ไม่ต่างกัน เรางี้นอนจนปวดหลังไปหมด

Friday, December 22, 2006

ปาย

คนขับรถมารับเราที่บ้านไผก่อน แต่มาช้า อ้างว่าหาบ้านไม่เจอ เพราะคนบอกทาง (ไผ-ผู้เป็นเจ้าของบ้าน) บอกว่า "เข้ามา ๔๐๐ เมตร แต่นี่เข้ามาหน้อยเดียวเอง" หญิง(แฟนไผ)เถียงว่า "อย่ามั่วนะ เพราะระยะทางนี้วัดโดยวิศวกรโยธาเชียวนะ" นั่น… เอาเข้าไป เราเลยต้องรีบขึ้นรถ ดีที่เครื่องดีเลย์ เลยกลายเป็นต้องมารอที่สนามบินอยู่พักนึงกว่าชาวคณะจากกรุงเทพฯ จะมาถึง แล้วเลยถือโอกาสจ่ายเงินค่าบัตรเครดิตที่ไปรษณีย์เลย แต่ รปภ. ไม่ยอมให้เข้า ทั้งๆ ที่ไปรษณีย์อยู่ติดกับประตูเข้า บอกให้เราไปเข้าประตูซึ่งต้องรอคิว Scan ยาวเหยียด เราเลยบอกให้คุณ รปภ. ช่วยไปจ่ายให้เราหน่อย ปรากฎว่า เฮียยอม!

ทัวร์ก็เริ่มจากการกินข้าวเที่ยงที่ร้านข้าวซอยฟ้าฮ่ามก่อน แล้วก็แวะซื้อของกินที่ตลาดเอาไว้เป็นเสบียง แล้วถึงเริ่มล้อหมุนจากเชียงใหม่ ประมาณบ่ายแก่ๆ ก็ถึงปาย พอเช็คอินเสร็จ ก็โซ้ยไส้อั่วที่ซื้อมา ก่อนที่จะเข้าไปเที่ยวในเมืองปาย คราวนี้เรา, หญิง กับหมูต้องแชร์ห้องกัน แต่ห้องที่รีสอร์ทอันนี้มันเล็กมากเลย คนที่ ๓ ต้องนอนที่ปลายเท้า แถมยังต้องปูฟูกที่พื้นอีกต่างหาก แถมยังต้องหาที่วางกระเป๋ากันใหม่ เราเลยบอกให้เขาเก็บฟูกไป แล้วให้หมูนอนเบียดกับเราแทน ส่วนห้องน้ำกว้างสุดๆ น่าจะแบ่งพื้นที่ให้ส่วนห้องนอนได้อีกตั้งเยอะ เลยให้สงสัยว่าต้องทำ layout ห้องนี่เจ้าของทำกันเองรึงัยนะ

ที่แรกที่แวะ คือ วัดพระธาตุปาย (แก่แล้ว เน้นทัวร์กินกับทัวร์วัด) ซึ่งรถขึ้นถึง แม่เลยขึ้นไปเที่ยวกับพวกเราได้ และแม่ก็เตรียมทองคำเปลวมาแจกพวกเราอีกตามเคย คราวนี้เรามีโลชั่นขวดเล็กๆ มาด้วย (รู้สึกว่าแก่แล้ว มือแห้งง่ายมาก) เลยได้เอามาทาตอนติดทองพระด้วย (ความรู้นี้ได้มาจาก อ.พิชัย ที่เราติดตามแกตั้งศาลพระภูมิมาหลายที่) แถมตอนก่อนกลับพระที่วัดยังสวดอวยพรให้ แถมยังให้พระองค์เล็กๆ กับสายสินจ์ข้อมือพวกเราอีกด้วย แล้วก็ไปวัดกองมู (มั๊ง) เพราะเราเห็นในทีวีว่า มีพระที่มีน้ำซึมออกมาจากเศียรพระ (เศียรพระกลวง แล้วมีน้ำขังอยู่ข้างใน) หลวงพ่อจะตักน้ำออกมานิดหน่อย (ซึ่งน้ำจะซึมออกมาอยู่เรื่อยๆ ไม่หมดซะที ซึ่งก็แปลก เพราะถ้าองค์พระชื้นมากๆ น้ำก็น่าจะมีวันหมดนะ แต่นี่เหมือนอัตราความชื้นที่ซึมเข้าไปเท่ากับอัตราน้ำที่ไหลซึมออกมา) แล้วผสมทำน้ำมนต์แจก โดยทางวัดมีขวดพลาสติกใบเล็กๆ ไว้ให้เสร็จสับ และทางวัดก็มีเจดีย์ของพระสุพรรณกัลยาด้วย เลยไหว้ขอพรอีกรอบ

แล้วก็เข้าเมือง มีรีสอร์ทน่ารักหลายอัน และก็มีหลายอันที่คาดว่าจะเป็นแบบคืนละ ๓๕๐ บาท ที่ไผจะมานอน ซึ่งหญิงโสดรายได้ดีอย่างเรารับไม่ได้ (รีสอร์ที่เรานอนคืนละ ๒,๐๐๐ บาท) แล้วเลยเดินเล่นกันก่อนกินข้าวเย็น มีร้านน่ารักๆ อยู่พอสมควร เดินเล่น-ถ่ายรูปอยู่พักนึง เราก็เจอ "ตู้ไปรษรีย์" เลยรีบซื้อโปสการ์ดแล้วเรียกคนอื่นๆ มาช่วยกันเขียนโปสการ์ดให้ "เก๋" กันใหญ่ ; p เขียนเสร็จปุ๊ป ก็ส่งเลยทันที ส่วนของนิจก็เขียนให้กันตามปกติ ; p กินข้าวเสร็จ กลับมาที่รีสอร์ท ปรากฎว่าไฟดับ เลยเราถือโอกาสไม่อาบน้ำ พุ่งขึ้นไปนอนทันที เพราะอากาศหนาวสุดๆ เทอร์โมมิเตอร์ในห้องบอกว่าอากาศอยู่ที่ ๑๒ องศา แต่เราบ่นใหญ่ว่า มันต้องหนาวกว่านั้น เพราะเรารู้สึกหนาวมากๆ หนาวกว่าที่ฮ่องกงตั้งเยอะ แต่ยังดีที่ผ้าห่มดีมากๆ ห่มแล้วอุ่นสุดๆ เลยค่อยยังชั่วหน่อย

Thursday, December 21, 2006

7-11 สาขาเชียงใหม่

เรานัดนกกินข้าวมื้อบ่ายก่อน (เที่ยงตื่นไม่ทันอ่ะ) เลยถามนกว่า ไม่อยู่หลายวันมีข่าวอะไรน่าตื่นเต้นบ้าง นกคิดอยู่แป๊ปนึงก็บอกว่า "ก็เจ้าชายจิกมี่ขึ้นครองราชย์งัย" อ้าว ไหนบอกว่าอีก ๒ ปี งัย อย่างนี้ท่านพ่อเจ้าชายต้องโดนรัฐบาลภูฏานกดดันแน่ๆ เลย นกบอกว่า ก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน มันเป็นแค่ข่าวต่างประเทศสั้นๆ น่ะ เราเลยตั้งใจว่า ไม่เป็นไร ไว้เราค่อยไป Google เอาวันหลังก็ได้

กินข้าวเสร็จ แล้วเราก็แวะไปรับทอง ๑ สลึงของโฮมโปร ที่ตึก All Seasons ซึ่งดูหรูหราดี ทำเอาเรารู้สึกเหมือนเป็นบ้านนอกเข้ากรุงยังงัยไม่รู้ แล้วเรียกแท๊กซี่ไปสนามบิน ซึ่งจริงๆ ไฟล์ทเรา ๔ ทุ่ม เพราะเรานึกว่าจะทำงานแล้วค่อยมา ไม่นึกว่าจะมีทริปฮ่องกงมาคั่น แต่เราถึงสนามบินประมาณ ๖ โมง เลยไปขอเปลี่ยนไฟล์ท (ข้อดีของการนั่งการบินไทย) แล้วก็โชคดีได้ไฟล์ท ๑ ทุ่ม

ไผมารับเราที่สนามบิน มันตัวอวบอ้วนขึ้นมาก แถมไว้พุงอีกตะหาก สงสัยจะกินดี-มีสุข น่าอิจฉาจริงๆ ตอนนั่งคุยกัน ปุ๊กก็โทรมาบอกเราว่า อากาศหนาวมาก บนดอยอาจจะเหลือแค่ ๖ องศา อ้าว ซวยละสิ เราฝากเสื้อหนาวแจ้กลับบ้านไปแล้ว เราต้องขอยืมน้องหญิง-แฟนไผ ตามด้วยการยืมกางเกงขาสั้น เพราะปุ๊กบอกว่า จะมีการไปแช่น้ำร้อนด้วย พอเลือกเสื้อผ้าเสร็จ ไผก็เอาไฟฉายมาให้ แล้วบอกว่า บ้านไผเป็น 7-11 ใครมาเที่ยว ก็ต้องมาแวะยืมของก่อน ถุงนอนหรือเต๊นท์ก็มีให้ยืมนะ ฮ้า… เราเลยบอกว่า เอาไว้บ้านไผซ่อมเสร็จ (ผู้รับเหมาบอกว่าอีก ๑ เดือน เรากับไผเลยสรุปว่า คงอีก ๒ เดือน มากกว่า เฮ้อ…) เราจะมาใช้บริการอีกรอบละกัน แล้วก็คุยกันจนดึก ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปนอนอากาศหนาวมาก เราว่าน่าจะหนาวกว่าที่ฮ่องกงอีกนะ เลยให้นึกหวั่นใจว่า ตรูจะรอดปลอดภัยไม่หนาวตายบนดอยไม๊เนี่ย คืนนั้นเราเลยต้องอาบน้ำก่อนนอน เพราะที่บ้านไผมีเครื่องทำน้ำอุ่น และกลัวว่าจะไม่ได้อาบไปอีก ๒ วัน แต่น้ำเย็นมากๆ เครื่องทำน้ำอุ่นไม่สามารถทำน้ำให้อุ่นได้เลย ทำเอาเรานึกถึงเครื่องทำน้ำร้อนที่คอนโดขึ้นมาทันที พรุ่งนี้เห็นทีจะต้องบอกไผให้ติดเครื่องทำน้ำร้อนที่บ้านใหม่ซะแล้ว เวิร์คจริงๆ นะฮ้า… ขอบอก…

Wednesday, December 20, 2006

น้าหงิญ - ฮ่องกงวันที่ ๔



เช้าเรากับหญิงก็ไปถ่ายรูปรอบๆ โรงแรมกัน ทุกอย่างเป็นทรง Micky Mouse หมด ไม่ว่าจะเป็นหน้าต่าง, พนักเก้าอี้, มือจับ ไม่เว้นแม้แต่ขนมปังกรอบในชามสลัด ยกเว้นสระว่ายน้ำที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมธรรมดา ซึ่งหญิงเม้าท์ว่า ไม่น่าหลุดธีมได้ เราทุกคนแพ็คกระเป๋าเรียบร้อยเอาลงมาข้างล่าง โดยไม่ต้องไปคิว Check Out พนักงานบอกว่า ถ้าคืนห้องก่อน ๑๑ โมง จะเป็นการ Check Out แบบอัตโนมัติเลย แล้วก็ไป Nong Ping กัน

Nong Ping เป็นที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่ เป็นแนวชมธรรมชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปโดยนั่งรถกระเช้าไฟฟ้า ประมาณ ๔๕ นาที แล้วไปดูวัดจีน กับ Chinese Village ที่พึ่งจะสร้างขึ้น มีร้านขายของทีระลึกตลอดทาง แจ้กับพี่เก๋เลยไปเดินช้อปเหมือนเคย (ไหนบอกว่า กะมาเที่ยวอย่างเดียว ไม่ช้อปวะ) ส่วนเรากับหญิงก็กินไอติรออยู่กับมุกกับฟ้า คราวนี้มุกยอมให้หญิงป้อนไอติมแล้ว ก่อนให้กินไอติมเราเลยถือโอกาสให้มุกเรียก "น้าหญิง" เพราะ ๓ วันที่ผ่านมา มุกเรียกหญิงว่า "เพื่อนอาอี๋" ตลอด โดยขู่ว่าถ้าไม่เรียก "น้าหญิง" เราจะไม่ให้กินไอติม ปรากฎว่ามุกทำท่าพยายามออกเสียงมาก สุดท้ายก็พูดว่า "น้า…หงิญ" พร้อมทำท่าโล่งอกที่พูดได้ในที่สุด เราถึงถึงบางอ้อว่าที่มุกไม่ยอมเรียก "น้าหญิง" เพราะมุกออกเสียง "หญิง" ไม่ได้นี่เอง 555 พอขากลับซึ่งสามารถเดินกลับลงมาได้ เป็นแนว Trekking ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาหลาย ชม. แต่เนื่องจากคณะเรามีแต่เด็กเล็กและคนแก่ -_-" เลยตกลงเลือกนั่งกระเช้าทั้งไปและกลับ

และเนื่องจากชาวคณะยังช้อปกันอย่างไม่หนำใจ เพราะยังไม่ได้เข้า Giodano กับ Bossini เลยต้องเข้าเมืองกันอีกรอบ และถือโอกาสมากินติ่มซำร้านเดิมอีก พี่เก๋เลยถือโอกาสเลี้ยงเรากับหญิงที่ช่วยมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก (หารู้ไม่ว่าแจ้ออกตังค์ค่าเครื่องตั๋วเครื่องบินให้เรามา หุหุหุ…) แล้วก็ไปช้อปประจายกันต่อ จนเกือบ ๖ โมง แล้วถึงได้ไปกลับไปโรงแรมเพื่อรอรถมารับไปสนามบิน

ถึงสนามบิน เรากับหญิงก็ซื้อขนม Maxim กันตามระเบียบ แต่พอเข้าไปใน Duty Free แจ้ก็จะซื้อเครื่องสำอางอีก หญิงเลยเดินไปก่อน เพราะจะไปดูของอย่างอื่น เราก็รอแจ้อยู่หน้าร้าน เพราะกลัวมุกจะทำของในร้านแตก รออยู่พักนึง พี่เก๋ก็เดินมาบอกให้เรา "พาน้องมุกไปก่อน" เราก็เลยเข็นมุกไปที่ Gate ปรากฎว่า Gate ดันอยู่ไกลโคตรๆ เราก็ลังเลอยู่แป๊ปนึงว่าจะพามุกไปถึงโดยที่มันจะไม่งอแงได้ไม๊เนี่ย แต่พอลองแย็บๆ ถามดู มุกก็บอกว่า "มุกไปได้" เราเลยพามุกขึ้นรถไฟไป แล้วก็เปลี่ยนลิฟต์อีก ๒ รอบ กับเดินบันไดเลื่อนอีก ๕ สายพาน ก็ถึง Gate พอดี จนเครื่องใกล้ออก พี่เก๋ก็โทรมาบอกให้เราพามุกไปที่ Gate เลย เราก็งงๆ แต่ก็ตอบไปว่า ตอนนี้หนิงกับมุกอยู่หน้า Gate แล้ว และหนิงกรอกฟอร์มเอารถเข็นขึ้นเครื่องเสร็จแล้วด้วย พอแจ้มาถึงก็บอกว่า ที่มาช้าเพราะมัวแต่หาเรากับมุก เพราะเห็นว่า Gate อยู่ไกลมาก แถมต้องเปลี่ยนรถไฟอีก กลัวเราจะไม่กล้าพามุกมา ส่วนพี่เก๋บอกว่า "พามุกไปก่อน" หมายถึง "พามุกไปเดินเล่นที่อื่นก่อน" อ้าว! Anyway เราก็พามุกมาจนได้ เราเลยบอกว่า จริงๆ น้องมุกเก่งมากนะ เพราะตลอด ๔ วัน มุกพูดง่าย ไม่มีงอแงเลย ผิดกับฟ้าที่ต่อมน้ำตาแตกไป ๓ รอบ แล้วให้มุกทำอะไรก็ทำ ให้กินอะไรก็ไม่มีปัญหาทั้งสิ้น เอาไว้เราจะมาเที่ยวกับมุกอีก เพราะสนุกมากๆ (ว่าแล้วอย่างมีลูกสาวสุดๆ)

ไฟล์ทเต็มเอียดเหมือนขามา แถมยังมีแขกขนของกลับประเทศกันกระเป๋าใหญ่ยักษ์อีกตะหาก (เห็นบอกว่าไปขนซื้อกันมาจากเมืองจีน ขนกันเยอะขนาดนี้เครื่องจะ overload ไม๊วะ) เครื่องมาถึงเกือบเที่ยงคืน เราก็ไปถามหารถเข็นเด็ก พนักงานบอกว่า ให้รอที่สายพานก่อน ถ้าไม่ได้ค่อยมาติดต่ออีกครั้ง เพราะเอาแน่ไม่ได้ บางทีรถก็มากับสายพาน บางทีก็ให้พนักงานเอามาให้ เลยโดนพวกเราบ่นถึงความแย่ของสุวรรณภูมิกันอีกรอบ (ผิดกับฮ่องกง ที่เขาเอารถเข็นมาให้เราเลยถึงที่เลย) และแล้วรถเข็นก็มาทางสายพาน กว่าจะกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพก็เกือบ ตี ๒ เป็นอันว่าจบทัวร์ฮ่องกงแต่เพียงเท่านี้

Tuesday, December 19, 2006

ฮ่องกง (หาดใหญ่) วันที่ ๓

พี่เก๋เอา VDO มา พวกเราเลยต้องทำงานเพิ่มโดยการ "พูด" ด้วย จะมายิ้มถ่ายรูปอบ่างเดียวไม่พอเสียแล้ว เราเลยถามว่า "มุก นี่เรากำลังจะไปไหนกัน" มุกตอบทันที "ไปหาดใหญ่!" เฮ้อ… หลานชั้น ยังอยู่หาดใหญ่อยู่เลย เราเลยต้องบอกแจ้ว่า นี่เตี๊ยมน้องมุกดีๆ นะ ถ้ากลับไปแล้วหมะถามว่า ไปไหนมา แล้วมุกตอบว่า ไปหาดใหญ่ละก็ หมะบ่นตายเลย (หมะยืนยันว่า มุกยังเด็ก พาไปก็จำอะไรไม่ได้หรอก เสียดายตังค์เปล่าๆ) นั่งรถประมาณ ชม. ก็มาถึงดีสนีย์ ก่อนอื่นต้องไปเช็คอิน เพราะวันนี้คณะเราเปลี่ยนพักที่ Disney Hollywood Hotel (ที่ Disney มีโรงแรม ๒ แบบ คือ แบบสี่ดาวที่เราพักกัน กับแบบห้าดาว)

ที่โรงแรมคนเยอะมาก นี่ขนาดเป็นวันธรรมดานะเนี่ย แต่ยังเข้าห้องพักไม่ได้จนกว่าจะบ่าย ๒ เราเลยไปเที่ยว Park กันก่อน พอถึง Park ก็มี Micky Mouse & Minnie ใส่ชุดคริสต์มาสให้ถ่ายรูป เรากับหญิงเลยรอถ่ายรูป ให้แจ้กับครอบครัวเข้าไปก่อน เพราะคิวยาวมาก พี่เก๋เลยฝากกล้องไว้กับเรา (มาเที่ยวนี้เราใช้กล้องพี่เก๋ตลอด เพราะของเราเป็น Ixus 5 ซึ่งดีกว่าของเรามาก) เพราะขี้เกียจถือทั้งกล้องและ VDO แล้วนั่นก็เป็นจุดที่คณะเราแบ่งเป็น ๒ คณะอย่างถาวร เพราะ message เรากับพี่เก๋ดีเลย์ประมาณครึ่ง ชม. แถมบางทีก็ได้ message ตอนที่คิวกำลังจะถึง หรือดูโชว์อยู่ เลยคลาดไปกันคลาดกันมาอยู่นั่น เรากับหญิงก็เล่นเครื่องเล่นอันเดิมๆ ที่เล่นกัน เราก็ยังชอบ 3D Show, Buzz Lightyear กับล่องแก่งเหมือนเดิม ส่วน Show ที่ไปดูเพิ่มใหม่มีแค่อย่างเดียว คือ Lion King Show ซึ่งตระการตาดีมาก แถมจุคนทีละเป็นหลักร้อย แถมไม่ต้องคิวเลย เราว่าคราวนี้ดีสนีย์จัดการได้ดีขึ้น เพราะคิวสั้นกว่าเดิมมาก

พอบ่าย ๓ เราก็ไปรอดูพาเหรด ปรากฎว่าระหว่างรอก็มี จนท. มาบอกให้เราย้ายที่เพราะที่เรารอเป็นที่ Reserve สำหรับรถเข็นคนพิการหรือคนแก่ เราก็ลุกเปลี่ยนที่โดยลืมกล้องถ่ายรูปไว้ พอนึกขึ้นได้ (น่าจะไม่เกิน ๕ นาทีนะ) วิ่งกลับไป กล้องก็หายไปแล้ว โชคดีที่มีคนแถวนั้นบอกว่า เห็นนักท่องเที่ยวคนนึงเอากล้องเราส่งให้ จนท. ไป เราถาม จนท. แถวนั้น ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง จนท. เลยบอกให้เราไปที่ Lost & Found Center พอเราวิ่งไป กล้องก็ยังไม่มาถึง (ก็คงงั้นแหละ ใครจะบ้าวิ่งเอามาให้เลยวะ) จนท. เลยให้เรากรอกแบบฟอร์มทิ้งไว้ก่อน เราเลยกลับมาดูพาเหรดด้วยจิตใจกระวนกระวายเล็กน้อย ในใจก็คิดว่า ได้ทอง ๑ สลึงจากโฮมโปร แล้วต้องเสียกล้อง Ixus 5 เนี่ยนะ ช่างไม่คุ้มกันเลย แต่โชคดีมากๆ ที่พอดูพาเหรดเสร็จ ก็มีคนฮ่องกงคนนึงเดินมาหาเราแล้วบอกว่า เป็นคนที่เอากล้องเราส่งให้ จนท. แล้วเฮียก็ช่วยพูดกับ จนท. แถวนั้นให้เรา อธิบายอยู่นานมากๆ จน จนท. พูดว่า รู้แล้วว่า จนท. คนนั้นเป็นใคร แล้วเฮียก็โทรถามให้เรา ปรากฎว่าถูกตัวจริงๆ แต่เนื่องจากเป็น Procedure จนท. จะไม่สามารถเอากล้องมาให้เราโดยตรง เราจะต้องกลับไปรับกล้อง Lost & Found Center ซึ่งก็โอ เราเลยขอบคุณคนฮ่องกงคนนั้นมากๆ เพราะถ้าเป็นเรา เราคงจำไม่ได้หรอกว่า จนท. หน้าตายังงัย แล้วก็ต้องขอบคุณ Mr. Yat ซึ่งเป็น จนท. ที่ช่วยเราหากล้องจนเจอไว้ ณ ที่นี้อีกรอบนึงด้วย

พอไปถึง Lost & Found Center ปรากฎว่า จนท. ก็ถามรายละเอียดกล้องเรานิดหน่อย และถามว่าเราถ่ายรูปครั้งสุดท้ายที่ไหน อันนี้หมูมาก เราตอบได้หมด เธอหายไปพักนึง ก็มาถามรายละเอียดกล้องเพิ่มเติมโน่นนี่อีก เราเลยถามกลับว่า มีปัญหาอะไรเหรอ เพราะก็มีรูปเราอยู่ในกล้องตั้งหลายรูป เธอเลยต้องบอกว่า กล้องเราไม่มีรูป แต่เนื่องจากไม่มีใครมาเคลมกล้องคืนอีกแล้ว เธอก็จะให้กล้องเรา แต่ขอเบอร์โทรศัพท์กับเบอร์ Passport เราไว้เผื่อว่าถ้ามีปัญหาอะไร

ตอนแรกเราก็ตกใจนึกว่าการ์ดเสีย หญิงเลยบอกให้เราลองถ่ายรูปดู ปรากฎก็ถ่ายได้ การ์ดไม่เสีย anyway ได้กล้องคืน เราก็ดีใจมากแล้ว เลยไม่ติดใจอะไร แต่หญิงบอกว่า มันน่าจะพยายามขโมยกล้องนะ แต่เราโชคดีมากที่มีการตามตัวจนเจอ มันเลยจำต้องเอากล้องมาคืน พอมาเล่าให้แจ้กับพี่เก๋ฟัง สองคนนั่นก็คิดเหมือนหญิง และยืนยันว่า เราควรจะต้อง report เรื่องนี้กับทาง Disney เราเลยพูดขำๆ ว่า งั้นหนิงก็ต้องเขียนจดหมาย ๔ หน้ากระดาษ เหมือนลูกค้าหญิงแล้วดิ แต่ทุกคนไม่ขำ พี่เก๋บอกว่า ถ้านักท่องเที่ยวเอาไป อันนี้พอเข้าใจ แต่พนักงานเอาไป มันรับไม่ได้อ่ะ เราเลยต้องรับปากว่า จะเขียนจดหมายมาให้ Disney แน่นอน (นี่เป็นสาเหตุที่เรามีรูปจากการไปเที่ยวฮ่องกงคราวนี้น้อยมาก หวังว่าส่วนจะกู้ไฟล์รูปให้ได้นะเนี่ย..) หญิงบ่นว่า เสียดายมาก เพราะอุตส่าห์คิวถ่ายรูปกับ Micky ตั้งนาน เรานึกๆ ดูก็บอกว่า ไปสั่งอัดกับ Disney ก็แล้วกัน ใช้ตังค์แก้ปัญหาเอา เพราะ จนท. เขาให้เลขที่บัตรมาด้วย แต่พอไปถึงก็ต้องเปลี่ยนใจ เพราะคิวยาวมากกกกกก… เป็นอันแห้วรูป Micky ที่อุตส่าห์คิวถ่ายรูปร่วม ชม. ไปอย่างน่าเสียดายสุดๆ

พอดูพลุอันตระการตาเสร็จตอน ๑ ทุ่มครึ่ง เราก็เดินหาแจ้อีกรอบ กะว่าถ้าไม่เจอ ก็จะกลับโรงแรมก่อนละ ปรากฎว่าเจอแจ้กำลังช้อปอยู่พอดี เลยต้องรอเธอช้อปอีกพักนึง พอจะกลับก็เดินผ่านคนขายลูกโป่ง ฟ้าก็บอกว่าจะเอา แต่พอถามราคาแล้ว ทุกคนก็อึ้งไป ก็อันละตั้ง ๑๐๐ เหรียญเชียวนะ ขอย้ำ "เหรียญ" นะ ไม่ใช่ "บาท" เลยต้องพูดปลอบใจกันพักนึง พอหญิงซึ่งเดินตามมาเป็นคนสุดท้ายมาถึง ฟ้าก็ปรี่เข้าไปจับมือหญิงพามาที่คนขายลูกโป่งทันที พอหญิงรู้ราคาก็เป็นอีกคนที่บอกว่าอย่าซื้อเลย เท่านั้นแหละ ฟ้าก็สะบัดมือจากหญิงไปทันที หญิงมาแอบเม้าท์กับเราทีหลังว่า ตกใจเลยที่จู่ๆ ฟ้าเดินมาจับมือ เพราะปกติแค่จะจับมือคุณเธอเดินข้ามถนน เธอยังไม่ยอมเลย เราเลยบอกใช่ ฟ้ามันจะเป็นแบบนี้แหละ เธอมักจะอยู่ในโหมดไม่สนใจใครทั้งสิ้นยกเว้นคุณแม่เธอเท่านั้น ถ้าเธอเดินมาคลอเคลียด้วยละก้อ ขอให้สันนิษฐานได้ว่า จะต้องมีอะไรแอบแฝงแน่นอน (อันนี้มาเล่าให้ปุ๊กฟังทีหลัง เราแถมว่า "ชั้นละกลัวว่า อีกหน่อยมันโตแล้ว มันจะหลอกใช้ผู้ชาย ยิ่งหน้าตาดีๆ อยู่ซะด้วย" ปุ๊กบอกว่า "ดีแล้ว ฟ้าจะได้แก้แค้นให้พวกเรา" -_-")

Monday, December 18, 2006

ฮ่องกงวันที่ ๒


แจ้นัดกินข้าวเช้า ๗ โมงครึ่ง แต่พอ ๗ โมง เธอก็โทรมาบอกว่า เด็กๆ แต่งตัวเสร็จแล้ว เฮ้ย ทำไมเด็กไม่เหนื่อยวะ เรากับหญิงก็รีบตาลีตาลานตามลงไปเจอที่ร้านที่แจ้ถามพนักงานไว้เสร็จสับ ซึ่งเป็นร้านคล้ายๆ Food Court บ้านเรา มีอาหารเช้าขายทั้งแบบจีนและฝรั่ง รสชาติและราคาโอเคพอใช้ได้ พอขากลับมาโรงแรมเพื่อมาเจอคณะทัวร์ หญิงสะกิดให้ดูสตาร์บัคส์ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วหัวเราะคิกคักอีกแล้ว

วันนี้เป็นรายการ City Tour ครึ่งวัน ไกด์เราเป็นหนุ่มฮ่องกงอายุ ๒๐ นิดๆ ตี๋ๆ ขาวๆ จัดได้ว่าหน้าตาดี หญิงชมว่าหล่อ แถมบอกว่าหมู่นี้โชคดีไปไหนก็เจอไกด์หน้าตาดีตลอด ดูอย่างคราวที่ไปหลวงพระบางดิ เราเลยตอบว่า นั่นมันเป็นเพราะเราแก่แล้วตะหาก สาวแก่เห็นหนุ่มๆ ก็มักจะรู้สึกว่าหน้าตาน่ารัก-น่าเอ็นดูไปหมด เพราะเมื่อวันก่อนเราดูรายการรักเอยที่เชิญป้าแอมกับป้าคิ้มมาออกรายการ ๒ ป้าออกอาการปลื้ม "น้องเคน" เอามากๆ จนป้าแอมถึงกับพูดว่า "โอ๊ย เห็นทีไรน้ำหมากไหลทุกที" ส่วนป้าคิ้มบอกว่า "เธอยังดี แค่น้ำหมากไหล ชั้นงี้น้ำย่อยไหลเลย" ส่วนเด็กสาวๆ คนอื่นที่มาออกรายการ ก็บอกปลื้ม "พี่เคน" เหมือนกัน แต่ไม่ออกนอกหน้าเหมือน ๒ ป้า บางคนนี่เฉยๆ ด้วยซ้ำ เราเลยมั่นในว่ามันเป็นที่ "วัย" แน่นอน

ทัวร์เราเริ่มที่อ่าว Aberdeen ไกด์ขอร้องแกมบังคับให้ลูกทัวร์ลงเรือชมอ่าวจนครบทุกคน ที่บอกว่าบังคับ เพราะเราต้องจ่ายเพิ่มคนละ ๕๐ เหรียญ เด็กครึ่งราคา เรือก็คล้ายเรือข้าวสารบ้านเรา(รึป่าววะ) ลำขนาดกลาง พาเราวนดูวิถีชีวิตชาวประมงสมัยโน้น (สมัยนี้คงไม่มีใครใช้ชีวิตอยู่บนเรือแล้วละมั๊ง) แล้วก็ผ่าน Jumbo Restaurant ที่ John บอกเราว่าให้ไปกินข้าว แถมแถวๆนั้น มีท่าจอดเรือยอช์ทด้วย (แต่ท่าดูโทรมมากเลย ไม่ยักสวยเหมือนท่าจอดยอช์ทแถวยุโรป ทำเอาราคาเรือยอช์ทดูเสียราคาหมด) เราเลยรีบถ่ายรูปไว้ไปอวด John เสร็จแล้วก็ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่อ่าวรีเพลาส์ เบย์ องค์จริงดูเล็กกว่าในรูปมาก จนเราต้องถามไกด์ว่า ใช่องค์ที่ดังๆ รึป่าว ไกด์ก็ยืนยันว่าใช่ เรากับหญิงเลยรีบไหว้ขอพรกันใหญ่ ซึ่งเดาได้เลยว่าหญิงขอเรื่องงาน ส่วนเราก็ขอเรื่องคู่เหมือนเดิม แล้วไกด์บอกให้เรากับหญิงไหว้พระที่อยู่ใกล้ๆ เจ้าแม่กวนอิมด้วย แต่ให้ใช้การลูบองค์พระแทนการไหว้ตามปกติ โดยลูบตั้งแต่หน้าถึงเท้าเสร็จแล้วให้ทำท่ากำมือใส่ลงในกระเป๋า เพราะท่านเป็นพระที่เป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย พวกเราจะได้มีเงินทองอยู่ในกระเป๋า เรากับหญิงรีบวิ่งไปคิวทันที เราลูบองค์พระเสร็จก็กำมือใส่ลงในกระเป๋าแจ๊ตเก็ต แต่คุณหญิงเธอเอาจริงมาก เพราะเล่นกำใส่กระเป๋าเป้เลย แล้วก็ไปถ่ายรูปที่ Peak District จบด้วยการทัวร์โรงงาน Jewelry และโรงงานแบรนด์เนมก๊อป ซึ่งคณะเราไม่ได้เสียเงินเลยแม้แต่น้อย ตอนแรกเรากะซื้อเสื้อยืด Disney เอาไว้ใส่พรุ่งนี้ แต่ตัวนึงตั้ง ๑๕๐ เหรียญ เลยเปลี่ยนใจกัดฟันไว้ซื้อของจริงพรุ่งนี้แล้วค่อยเปลี่ยนใส่มันที่นั่นดีกว่า ทัวร์ของทุกคนจบประมาณบ่ายโมง ยกเว้นมุกที่จบตั้งแต่ Peak District เพราะพอขึ้นรถมุกก็หลับยาวเลย ก่อนแยกกันแจ้ก็ขอให้ไกด์ช่วยแนะนำร้านติ่มซำให้ เฮียบอกให้ไปกินที่ร้าน Superstar

ร้านคนเยอะมากๆ และทุกคนก็หิวมาก เลยรู้สึกว่าอร่อยจริงๆ แถมพอเช็คบิลก็อยู่ที่ประมาณ ๓๐๐ เหรียญ สำหรับผู้ใหญ่ ๔ คน ซึ่งก็ถือว่าโอ เพราะสั่งกันกระหน่ำมากเกือบเป็นกล่องข้าวน้อย ตอนสั่งอาหาร ฟ้าก็พูดภาษาไทยว่าจะเอาโน่นนี่แต่พนักงานไม่สนใจ เราเลยบอกว่า ให้พูดจีนหรือไม่ก็อังกฤษพนักงานถึงจะเข้าใจ เธอเลยพูดว่า "This. This. This." ใหญ่แล้วชี้รูปประกอบ แจ้นี้หน้าบานสุดฤทธิ์บอกเราว่า ตอนอยู่บนรถแอบเห็นฟ้าไปคุยกับไกด์ด้วย เธอดีใจใหญ่ที่ลูกยอมพูดภาษาอื่นนอกจากภาษาไทย (ตอนฟ้าเด็กๆ ทุกคนพูดจีนกับฟ้าหมด ฟ้าก็พูดตอบเป็นภาษาจีน แต่พอเข้าโรงเรียน ก็ไม่ค่อยยอมพูดภาษาจีนแล้ว) แล้วทุกครั้งที่เราพูดกับคนอื่นเป็นภาษาอังกฤษ ฟ้ากับมุกจะถามตลอดว่า เราพูดอะไร แบบว่าอยากรู้ตลอด เราเลยได้ทีสอนว่า ให้หัดภาษาอื่นๆ บ้างนอกจากภาษาไทย เพราะเวลามาต่างประเทศจะได้พูดกับคนอื่นได้ และเข้าใจว่าเราพูดอะไร U have 2 choices, English or Chinese. ดูฟ้าเชื่อเอามากๆ เพราะเริ่มพูด Thank u หรือไม่ก็ เซี่ยๆ เวลาใครทำอะไรให้ เอาวะ ก็ถือว่าคุ้มที่พามาเที่ยวไกลขนาดนี้ตั้งแต่ยังเด็ก

พอกินข้าวอิ่ม ก็เป็นการ Shopping พวกเราเดินหาร้านยอดฮิตของคนไทยอย่าง G2000 หรือ U2 หรือ Bossini กันใหญ่ สุดท้ายก็เป็นเจอแหล่งที่ Park Lane เราดีใจใหญ่จนผู้ชาย ๒ คนที่อยู่ใกล้ๆ ขำ เลยคิดว่า ๒ คนนี้ต้องเป็นคนไทยแน่เลย แต่ไม่สน เรารีบปรี่ไปทันที ปรากฎว่าก็เป็นไปตามคาด เราเดิน ๓ ร้านที่ว่าเสร็จในครึ่ง ชม. ได้เสื้อกับกางเกงมาอย่างละ ๑ ตัว ส่วนคุณพี่สาว, คุณพี่เขย และคุณน้าหญิง หายตัวไปร่วม ๒ ชม. เราเลยต้องเป็นกลายเป็นแนนนี่เต็มตัว เล่นชงชาเย็น (ปลอมๆ) กินกับมุกไป ๓๐ แก้ว ก็ยังไม่มีใครมา พอดีใกล้ๆ มี Park เราเลยพามุกไปเดินเล่น กลับมาก็ยังช้อปกันไม่เสร็จ จนเราต้องเตือนหญิงว่าเดี๋ยวจะไปไม่ทันนัดนะ (หญิงนัดเพื่อนที่ DHL) ส่วนแจ้ต้องพาเด็กๆ ไป Santa Town ที่ Central แล้วต้องรีบกลับมาให้ทันดูการแสดงแสง-สีตอน ๒ ทุ่ม แถวๆ โรงแรมนะ คณะช้อปถึงยอมสงบ แยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่

เรากับหญิงต้องกลับไปเอาของที่เพื่อนหญิงฝากซื้อที่โรงแรม (เอ่อ เธอฝากซื้อยาคุมอ่ะ บอกให้หญิงซื้อมาแบบมากที่สุดเท่าที่จะขนได้ หญิงเลยกวาดซะหมดร้าน Watson ซึ่งตอนผ่าน Immigration ที่ฮ่องกง เรางี้ลุ้นสุดๆ เพราะถ้าโดนสุ่มตรวจขึ้นมาละซวยแน่ หญิงไทยโสดถึงแม้จะมีอายุแล้วก็ตามขนยาคุมมาเยอะขนาดนี้ มันก็ชวนให้เจ้าหน้าที่เข้าใจผิดอยู่หรอก) เลยแบกถุงช้อปของแจ้กลับไปโรงแรมด้วย แจ้จะได้ไป MRT สะดวกหน่อย แล้วก็รีบไปที่นัดพบที่ Santa Town ซึ่งการท่องเที่ยวฮ่องกงโปรโมทไว้ แต่เอาเข้าจริงปรากฎว่าเป็นลานเล็กๆ แต่มีต้นคริสต์มาสใหญ่ยักษ์อยู่ต้นนึง (ประมาณอันที่สุวรรณภูมิ) ข้างบนเป็นรูปหัวใจแดงซะด้วย แล้วก็มีร้านเล็กๆ ให้ถ่ายรูป อ้อ แล้วก็มีการ์ดให้เขียนขอพร เราเลยเขียนว่า ขอให้ได้แต่งงาน หญิงงี้แซวเราสุดฤทธิ์ แล้วก็เก็บการ์ดตัวเองเป็นอย่างดี สงสัยกลัวเราจะแอบดูบ้าง ถ่ายรูปเสร็จก็รอเพื่อนหญิง แต่รอแล้วรอเล่าเพื่อนหญิงก็ยังไม่มา เราสองคนหิวสุดๆ เลยต้องซื้อของแถว MRT กินรอ สุดท้ายเธอก็บอกให้พวกเราไปรอที่ร้านอิตาเลี่ยนแห่งนึง ซึ่งบรรยากาศดีมากๆ เห็นวิวเกาลูนสวยงาม เหมาะแก่การไปดินเนอร์มาก แต่เราไม่มีอารมณ์จะโรแมนติก เพราะไปกับหญิง (ไม่ได้ไปกับแฟนซะหน่อย) แถมเราก็เหนื่อยด้วย เพราะเล่นกับมุกมาทั้งวัน (ทำไมเลี้ยงเด็กมันเหนื่อยอย่างนี้ก็ไม่รู้) ก็รอกันตั้งแต่ ๒ ทุ่ม กว่าเธอจะมา ก็เกือบ ๔ ทุ่ม ซึ่งเธอมาในสภาพหิวซ่ก พอกินเสร็จก็ต้องไปกินของหวาน (ชีสูบบุหรี่อ่ะ) กว่าจะได้ออกจากร้านกลับมาถึงโรงแรมก็เกือบเที่ยงคืน พอมาถึงที่ห้องก็มี message มาจากทัวร์ว่าที่จะมารับคณะเราไปดีสนีย์ตอน ๗ โมงครึ่ง ขอเลื่อนเป็น ๙ โมงเช้า ๙ แทน เย้! ดีใจจัง ได้นอนเพิ่มอีกนิดนึง…

Sunday, December 17, 2006

ฮ่องกงวันที่ ๑


รีบตื่นไปบ้านญาติพี่เก๋เพื่อไปเจอชาวคณะทัวร์จากยะลา แล้วก็จะได้ติดรถเขาไปสนามบินด้วย พอไปถึงพี่อ้อยก็มาเปิดประตูให้เรา แล้วตะโกนบอกฟ้าว่า "น้องฟ้าค่ะ น้าหนิงมาแล้ว" พอฟ้าออกมาเห็นเรา ก็หันไปทำหน้าดุๆ ใส่พี่อ้อยว่า "เขาชื่ออาอี๋ ไม่ได้ชื่อน้าหนิง!" อะ! งานนี้เลยได้ล้อกันอีกพักนึง

พวกเราไปถึงสนามบินค่อนข้างเร็ว อาจจะเป็นเพรามันเป็นเช้าวันอาทิตย์ เราก็เล่นกับมุกไปเรื่อยๆ รู้สึกว่ามุกดูน่ารักขึ้น (อันนี้คิดถึงที่เก๋บอกว่า ไอโกะเปี๊ยนไป๋ เราว่า มุกก็เปี๊ยนไป๋ ^_^) แต่เนื่องจากคนเยอะมาก คงเป็นเพราะมันเป็นช่วงฮ่องกงอากาศดีด้วยละมั๊ง นักท่องเที่ยวเลยเยอะสุดๆ เราเลยให้ครอบครัวแจ้เช็คอินก่อน เพราะต้องพาเด็กๆ เข้าไปกินอะไรรองท้องก่อนขึ้นเครื่องด้วย (ไฟล์ทบ่ายโมง) ส่วนเรารอหญิงมาแล้วค่อยเช็คอินพร้อมหญิง พอตอนเราเช็คอิน เราก็พึ่งสังเกตว่ามีใบ immigration วางอยู่ตรงใกล้ๆ เคาท์เตอร์เช็คอิน เลยนึกขึ้นมาได้ว่า ต้องกรอกใบนี้ด้วย (นานๆ จะไปเมืองนอกกับเขาซะที ป้าเลยลืมไปเลย) แล้วตะกี้แจ้ไม่ได้กรอกซะด้วย เลยรีบโทรบอกทั้งแจ้และพี่เก๋ แต่ก็ติดต่อไม่ได้ เลยให้นึกในใจว่า อย่างนี้ต้องติดกันเป็นตังเมเลยนะเนี่ย แต่ถ้าจำเป็นเราก็ยกมือถือเราให้แจ้ละกัน เพราะเราอยู่กับหญิงตลอด เอาไว้ขอหญิงใช้ถ้าจำเป็นต้องติดต่อกัน anyway ก็หวังว่าแจ้จะนึกเรื่องใบ immigration นี้ขึ้นได้ก่อนนะ ไม่งั้นต้องไปยืนกรอกหน้าเคาเตอร์ให้ชาวบ้านยืนบ่นในใจต้อนรับการเริ่มเดินทางเลยเชียว…

พอเข้าไปแล้ว ก็มี message มาเรียกเราไปกินข้าว เบอร์ใครก็ไม่รู้ แต่ก็น่าจะเป็นของแจ้แหละ เลยบ่นในใจว่ามีอีกเบอร์ก็ไม่บอกเรา พอไปถึงร้านอาหาร ปรากฎว่าเป็นอีกเบอร์ของพี่เก๋ เขาบอกเบอร์นี้ถึงจะเปิดโรมมิ่ง เลยโล่งอก มีทางติดต่อกันได้หล่ะ

ไฟล์ทเต็มเอียด คณะเราเลยนั่งแยกเป็นคู่ๆ แถมยังไม่ได้ที่นั่งติดหน้าต่างเลยซักคน (พี่เก๋อยากได้มาก คงอยากให้ฟ้าดูวิวละมั๊ง) คราวนี้เราบินอิมิเรสต์ เลยมีทีวีส่วนตัวให้ดูเพลินๆ หันไปอีกที หญิงหลับไปแล้ว ซักพักมุกก็หลับตามน้าหญิงไป เลยไม่ได้กินข้าวที่ทางสายการบินเตรียมแบบของเด็กมาให้ (เป็นกล่องพลาสติกสีฟ้าน่ารัก) ส่วนฟ้าดูการ์ตูนไปตลอดทาง นี่มันติดการ์ตูนเอาจริงๆ จังๆ เลยนะเนี่ย…

พอถึงก็เป็นไปตามคาดว่า รถบัสที่ตระเวณส่งคณะทัวร์คนไทย จะส่งคณะเราเป็นคณะสุดท้าย กว่าจะเช็คอิน และไปกินข้าวก็เกือบ ๓ ทุ่ม พวกเราหิวกันมาก เดินหาร้านที่โรงแรมบอกไม่เจอ แต่ดันมาเจอร้านอะไรก็ไม่รู้ ท่าทางหรู แถมกำลังจัดงานเลี้ยงแต่งงานอยู่ซะด้วย แต่ทางร้านยอมให้พวกเรากิน เลยต้องรีบพุ่งเข้าไป พี่เก๋อ่านเมนูนานมาก ยึกยักไปมาอยู่นั่น ไม่หิวรึงัยวะ แต่เด็กๆ ไม่หิว เราเห็นไม่ได้การเลยจัดการสั่งแทนเลย มื้อนี้กินไปไม่เท่าไร แค่ ๖๙๕ เหรียญ โห… แทบเป็นลม นี่ขนาดสั่งแบบเกรงใจแล้วนะ แต่ก็เอาเหอะ ก่อนที่อิชั้นจะหลายร่างเป็นกล่องข้าวน้อยฆ่าพี่เขย มื้อหน้าต้องหาร้านหน่อยแล้ว เราเลยบอกแจ้ว่า เอาไว้จะถามดิว แก้ตัวละกันนะ แต่หญิงบอกว่า อย่างดิวคงพึ่งอาหารในแนวนี้ไม่ได้หรอก ฮ้า… ขากลับโรงแรม อากาศเริ่มเย็น ใส่แจ๊คเก็ตก็ยังเย็นๆ นิดหน่อย แหม… เย็นได้ใจจริงๆ ค่อยได้อารมณ์มาต่างประเทศหน่อย แต่ฟ้าบ่นว่า "โอ๊ย หนาวหน้า" 555 ท่ามันจะไม่ชอบฮ่องกงเท่าไหร่แฮะ

กลับถึงโรงแรม ๔ ทุ่มนิดๆ เลยรีบโทรหาดิวว่าวันนี้ไปหาไม่ได้แล้ว จะเปลี่ยนเป็นวันไหนดี แต่ปรากฎว่าดิวต้องไปทำงานที่เมืองจีนพรุ่งนี้ ไป ๓ วันรวด เลยอดเจอกัน เราเลยตั้งปฏิธานว่า จะต้องมาฮ่องกงอีกรอบ ยังงัยก็ต้องไปบ้านดิวให้ได้ (นี่ ๒ รอบ แล้วนะ ที่ไม่ได้ไป) หญิงเลยถามดิวว่า พรุ่งนี้จะไปกินข้าวเช้าได้ที่ไหน ดิวตอบว่า "สตาร์บัคส์" หญิงเลยหันมาหัวเราะคิกคักประมาณว่า ชั้นว่าแล้ว เห็นไม๊ล่ะ anyway ดิวบอกว่า คริสต์มาสจะไปเมืองไทย เอาไว้เจอกันที่โน่นละกัน เราเลยนึกในใจ นี่อิชั้นต้องบินทุกอาทิตย์รึงัยนะ แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะจะได้ถือโอกาสมางานปีใหม่เพื่อนเตรียมฯ ด้วย

โรงแรมที่พักครั้งนี้เป็นแบบ ๕ ดาว ชื่อ Marcopolo Hongkong (ที่ต้องระบุว่า Hongkong เพราะ Marcopolo มีหลายอัน แถมตั้งอยู่ใกล้ๆ กันด้วย อันนี้เหมือนจะเป็นอันแรก เลยดูหรูหราน้อยกว่าอันอื่นๆ เขา) โรงแรมตั้งอยู่กลาง Tism Sa Shui ใกล้ๆ กับท่าเรือ วิวดีมากๆ แต่น่าเสียดายที่พวกเราไม่ได้ห้องวิวนั้น แถมปีกที่เราพักก็กำลังปรับปรุง ในห้องพักเราเลยมีตุ๊กตาหมีตัวเล็กๆ วางไว้เขียนว่า "Bear with us" เออ เข้าใจเล่นคำดี (แต่ตอนแรกเรากับหญิงดีใจกันใหญ่ที่โรงแรมแจกตุ๊กตาหมี ป้าจริงๆ เลย -_-") ส่วนห้องพักก็กว้างขวางพอสมควร (ดีกว่าโรงแรมที่พักคราวที่แล้วมาก) แต่ดันไม่มีน้ำเปล่าให้ มีแต่ชากับกาแฟ เฮ้อ… ดีที่เราเหลือน้ำในขวดที่คว้ามาจากร้านอาหารหน่อยนึง เลยเอามากินกันตาย ไม่ต้องต้มน้ำให้วุ่นวาย


Saturday, December 16, 2006

เริ่มเทศกาลฮอลิเดย์

เริ่มเทศกาล Long Holiday ของเราเริ่มอย่างเป็นทางการแล้ว เย้! ตอนเช้าเรารอให้ร้านเปียนโนที่เราซื้อมา มาขนเปียนโนกลับไป เพราะเราคงไม่ส่งมันไปภูเก็ต หรือยะลาหรอก มันคงช้ำน่าดู เพราะมันก็เก่ามากแล้ว เอาไว้เราค่อยซื้อใหม่ตอนกลับไปอยู่ยะลา หรือไม่ก็ทำหน้าหนาๆ ไปเล่นของคุณหมอแทนละกัน หุหุหุ แต่ช่างมาช้า เราเลยไปงานเผาคุณอภินพบ่ายนี้ตามที่ตั้งใจไว้ไม่ทัน (จริงๆ เราก็ดันตื่นสายด้วยแหละ) ขอโทษจริงๆ นะคะ ก็ขอให้คุณอภินพไปสู่สุคตินะคะ

พอเย็นๆ ก็ออกไปกินข้าวปีใหม่บ้านพี่เอซึ่งปีนี้จัดเป็นปีที่ ๒ แล้ว ส่วนใหญ่คนที่ไปก็เป็นคนหน้าเดิมๆ อย่างพี่หมวย, ปุ๋ย, วิน, (ท่าน)เปา แล้วก็คุณกำนันทร ที่มาเพิ่มปีนี้ คือ เต้ กับ น้อง รายหลังนี่เราเฉยๆ เพราะเป็นน้องที่ทำงานพี่เอ แต่เต้นิสิ หรือปีที่แล้วพี่เอชวน แต่มันไม่ว่างก็ไม่รู้ anyway มันก็ไม่เกี่ยวกับเรา แต่ได้เจอเต้ก็ดีเหมือนกัน เห็นมันได้ดี เราก็ดีใจด้วย แต่น่าเสียดายที่ปีนี้ป๋อมกับพี่หนุ่ยมาไม่ได้ เราเลยอดถามพี่หนุ่ยเรื่องขึ้นศาลเลยว่าเป็นงัยบ้าง ส่วนแม๊กซ์มาช้าซะ พอมาถึงเรากับไอ้เปาก็กลับพอดี เลยอดคุยกัน ว่าแล้วก็ขอเล่าเรื่องขำๆ กับโหดๆ ของเปาหน่อย ความที่เมียเปาอยากมีลูกมาก แต่ทำยังงัยก็ไม่มี ถึงขนาดเคยไปขอหลานมาเลี้ยงเพื่อให้ลูกอิจฉามาเกิด ลูกก็ไม่มา เรายังแซวมันเลยว่า ลูกเปาคงเป็นเด็กดีมากๆ ไม่อิจฉาใคร มันเล่าว่า ตอนนี้มันไปทำกิฟต์อยู่ (รพ. เดียวกับของวิน แต่วินสำเร็จได้ลูกสาว ๑ คน แล้ว) เมียต้องผ่าตัด ๒-๓ รอบแล้ว นี่ก็พึ่งผ่าไป ตอนนี้พักผ่อนอยู่บ้าน ที่มันแปลนไว้กับเมียว่าจะไปสกีกันที่เกาหลีอาทิตย์นี้ เมียก็ไปไม่ได้แล้ว แต่มันยังไปอยู่ และจะบินพรุ่งนี้แล้ว ทุกคน (โดยเฉพาะสาวๆ) ฟังแล้วอ้าปากเหวอ เราเลยด่ามันว่าทุเรศ มันให้เหตุผลว่า ทัวร์ยกเลิกไม่ได้ แล้วมันอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ สู้มันไปเล่นสกีฟิตร่างกายให้แข็งแรงดีกว่า เพราะการที่ร่างกายแข็งแรงนี่ถือเป็นส่วนนึงปัจจัยความสำเร็จในการทำกิฟต์ ฟังแล้วจะบ้า เรานึกในใจว่า นี่ถ้าปุ๊กมาได้ยิน ต้องรีบตอกย้ำกับเราแน่นอนว่าผู้ชายดีๆ ไม่มีในโลก ดูไอ้เปาดิ เฮ้อ… ว่าแล้วเปาก็บ่นต่อว่า หนังสือโป๊ที่ รพ. เก่ามากๆ ดูยังงัยก็ไม่มีอารมณ์ แถมพยาบาลที่ดูแลเรื่องน้ำเชื้อก็แก่ซะ มันบอกภาพว่า ให้นึกภาพเหมือนหนังฝรั่งที่มีพยาบาลแก่ๆ อ้วนๆ ทำหน้าเบื่อๆ แล้วยื่นหนังสือโป๊เก่าๆ โทรมๆ ให้ผู้ชายที่มาทำกิฟต์น่ะ ภาพนั้นเลย แถมบอกว่า "ผมงี้ต้องเอาหนังสือไปเองเลย" เราเลยให้สงสัยว่ามันเก่าขนาดไหน เลยถามว่า "หนังสือโป๊ที่ว่านี่มันเก่าขนาดไหนเหรอ" เปาตอบว่า "เพ็ญพักตร์" 555… (ต้องขอโทษคุณเพ็ญพัตร์จริงๆ ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีหรอกนะ แต่… โอ๊ย… ไม่รู้จะพูดยังงัย ; p)

Friday, December 15, 2006

ถึงบางอ้อ

ตอนเช้าเช็คเมล์เราถึงได้เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ณัฐถึงโวยเรานักเรื่องที่ไม่ยอมขอคุณติ๊กที่เราจะ leave w/o pay ก็อีตาพี่สุชาติไปนัดชาวบ้านในชื่อเรา แถมยังใส่ชื่อเราเป็นผู้เข้าประชุมอีก แกเห็นเลยงงว่าตกลงเราจะลาหรือไม่ลากันแน่ แถมตาตั้มก็ดันไม่ว่างประชุมแทนเราด้วย เพราะตาอเล๊กซ์ดันบินมาดูที่ในวันนั้นพอดีเพื่อจะ approve concept design ซึ่งคาดว่าเฮียจะต้องตามไปรับใช้ที่เกาะทั้งวัน เฮ้อ! แต่ช่างมัน โมโหไปก็ไลฟ์บอย (สำนวนป้าซะ) เราเลยต้องทำตัวเป็นนางเอกสุดฤทธิ์โดยการไปบอกคุณติ๊กว่า เราจะลา แต่เราจะรับผิดชอบโดยการบินกลับมาประชุม คุณติ๊กซึ่งคาดว่ากำลังอยู่ในช่วงอารมณ์ดีสุดๆ (หรือทิฐิสุดๆ ก็ไม่รู้) เลยอนุญาตให้เราไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องกลับมาประชุม โดยแกบอกว่าผม brief designer เองได้ เอาไว้ตอนที่ designer มา present ซึ่งคาดว่าจะเป็นหลังปีใหม่ เราค่อยเข้าตอนนั้นก็ได้ เฮ้อ! โล่งอก ค่อยเที่ยวสนุกหน่อย

ตอนรอขึ้นเครื่องมากทม. พี่เอโทรมาบอกว่าคุณอภินพเสียแล้ว เรางี้อึ้งเลย ก็แกยังไม่แก่มากนี่นา ถึงแม้ว่าแกจะดูทรุดโทรมมากจากการทำงานหนักจนสุขภาพไม่ค่อยดีก็ตาม ฟังแล้วใจหายชะมัด ก็ขอให้ไปสู่สุขคตินะคะ เฮ้อ… สุขภาพนี่สำคัญจริงๆ นะเนี่ย anyway เราคิดว่า คราวนี้คุณนิดคงไม่กล้าบี้งานใครมากๆ แล้วล่ะ

พอมาถึงคอนโด เราถึงได้อ่านจดหมายแจ้งจากบัตรเครดิตกรุงศรี-โฮมโปรว่า เราได้ทอง ๑ สลึง จากการชิงโชคซื้อของที่โฮมโปร (มิน่าล่ะ เราเลยถอยรถชนต้นไม้แลกกับโชคทองนี่เอง แต่จะว่าไปเราก็ไม่มีดวงด้านนี้เอาเสียเลย ชีวิตเราก็ไม่เคยชิงโชคอะไรได้ ก็มีครั้งนี้แหละ สงสัยต่อไปก่อนหย่อนคูปองชิงโชค ต้องไหว้ขอหลวงพ่อทวดตามที่หมะบอกให้เราทำตอนส่งคูปองชิงโชคอย่างรอบนี้ทุกครั้งไปซะแล้ว) แต่ต้องมารับภายในวันนี้ ไม่งั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ ซึ่งจดหมายส่งมาตั้งแต่ต้นเดือน เอางัยดีวะ ตอนนี้ก็จะ ๕ ทุ่ม แล้ว เอาไว้โทรไปถาม call center พรุ่งนี้ละกัน เข้านอนดีกว่า เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แถมคราวนี้ดันงก นั่งรถบัสเข้าเมือง แล้วค่อยมาต่อแท๊กซี่ กว่ารถจะออก กว่าจะถึงบ้าน เหนื่อยซะ… ก็ป้าแก่แล้วนิ -_-"

Thursday, December 14, 2006

จะบ้า

พี่ณัฐโวยวายเราสุดฤทธิ์ที่เราจะเดินทางแล้วแต่ยังไม่ยอมลาคุณติ๊ก - Owner เรื่องจะไปเที่ยวอีก แถมอาทิตย์หน้าก็มีประชุม พี่สุชาติก็จะกลับแล้วด้วย เราก็งงๆ ว่าพี่สุชาติอยู่ประชุมนี่หว่า ก็แกเป็นคนจัดแจงโทรนัดชาวบ้านเขาไปทั่ว ขนาดเราถามว่า พี่จะประชุมไหวเหรอ ให้หนิงเรียกพี่ณัฐมาช่วยไม๊ แกก็บอกว่าไม่จำเป็น ก็พูดกันอยู่ตั้งนานกว่าจะเข้าใจว่า เนื่องจากนโยบายของบริษัท พี่สุชาติจะไม่อยู่ประชุมให้เรา แบบว่าต้องสั่งสอนให้ลูกค้าสำนึกว่า ไม่มีพวกเราครบทีมแล้วชีวิตจะลำบากยังงัย (ให้ตายเหอะ ง้อลูกค้า หรือทำเกินสโคปนี่มันเสียศักดิ์ศรีมากนักรึงัย ไซท์ก็มีอยู่ไซท์เดียว ยังจะทำเป็นซ่าอีก กรูจะบ้า บริษัทของใครกันแน่วะเนี่ย) ส่วนการประชุมให้เรารับผิดชอบเองฐานไม่ยอมคุยกับพี่สุชาติให้รู้เรื่อง เรางี้ฉุนสุดฤทธิ์ นั่งโต๊ะติดกันแท้ๆ ทำไมไม่บอกเราวะว่าจะอยู่ไม่ได้ ดันโทรไปบอกพี่ณัฐที่กรุงเทพฯ แทนซะนิ แล้วตัวเองก็จะไม่อยู่ ดันอาสาไปนัดชาวบ้านเขาอีก กรูจะบ้า เลยบอกพี่ณัฐว่า เราจะจัดการเรื่องนี้เอง ถ้าเราเลื่อนประชุมไม่ได้ เราจะบินกลับมาประชุมที่ภูเก็ตตอนที่กลับจากฮ่องกง แล้วเย็นนั้นค่อยบินไปเชียงใหม่ แต่เนื่องจากคุณติ๊กจะไม่เข้าออฟฟิสในวันนี้แล้ว เราเลยต้องรอขอเฮียพรุ่งนี้ พูดแล้วเซ็ง กลับบ้านดีกว่า แต่ที่ไหนได้ ดันอารมณ์เอาแต่โมโห ถอยรถใจลอย เลยชนไอ้ต้นมะพร้าวที่ลานจอดรถซัดเต็มที่ กระโปรงหลังบุบเลย โอ๊ย! เซ็งโว๊ย!

Monday, December 11, 2006

เกือบอดกลับภูเก็ตแน่ะ

เราบอกส่วนว่าให้เลี้ยงเหวินเฉียงด้วยนมแม่ให้ครบ ๖ เดือน ตามที่เราอ่านมาจาก blog ของนิจ (รึป่าว???) ยายเจ๊เนี้ยวก็เถียงขึ้นมาทันทีว่า เลี้ยงด้วยนมแม่แค่ ๓ เดือน ก็พอ เพราะหลังจากนั้นนมแม่ก็ไม่มีสารอาหารแล้ว เราเลยเซ็งเล็กๆ แล้วเลยอ้างพ่อของดิวซะเลย (เป็นหมอเหมือนกัน) ว่าพูดเหมือนที่เราบอก ส่วนก็เลือกเอาเองแล้วกันว่าจะเชื่อใคร แต่จะว่าไป เราจะไปเถียงกับแกให้เสียอารมณ์ทำไมวะ ก็แกเลี้ยงเหวินเฉียงแค่ ๒ เดือนเองนี่นา…

พอล้อหมุนจากยะลา เราก็โทรหาเกี๊ยกเพื่อจะไปเอาตั๋ว แต่ที่ไหนได้ เกี๊ยกดันซื้อตั๋วให้เราผิดวัน แต่ยังดีที่เปลี่ยนตั๋วได้ แต่เราจะไม่ได้การันตีที่นั่งต้องไปลุ้นโชคเอา งานนี้เกี๊ยกเลยรู้สึกผิดหน่อยๆ เลยต้องชดใช้โดยการเลี้ยงข้าวเรา เราเลยปลอบใจว่า ไม่เป็นไรหรอก เราพกดวงมาเยอะ อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่เทศกาลซะทีเดียว แต่ที่ไหนได้ พอรถมาปรากฎว่าคนยืนซะเต็มคันรถ กว่าเราจะได้ที่นั่งก็ต้องยืนไปถึงสงขลา เฮ้อ… เอาเถอะ นับว่ายังพอมีดวงอยู่บ้าง…

จากงานนี้เราเลยรู้ว่า เกี๊ยกเป็นคนโปรดของทั้งหมะและป๊ามาก เพราะพอทั้ง ๒ คนรู้ว่า เกี๊ยกซื้อตั๋วผิดวันปุ๊ป ป๊าว่าเราก่อนเลยว่าทำไมไม่จัดการเรื่องตัวเองไม่เรียบร้อย พออธิบายเสร็จว่าทำไม ก็ยังตามมาอีกช๊อตว่าเราเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง แม่เลยกระหน่ำอีกคนว่า รู้ว่าเกี๊ยกยุ่งยังจะไปรบกวนเขาอีก แล้วสั่งนักสั่งหนาว่า เดี๋ยวพอไปถึงท่ารถ ห้ามต่อว่าเฮียเป็นอันขาด แล้วพอเจอหน้าเกี๊ยกปุ๊ป หมะรีบขอโทษเกี๊ยกเลยฐานที่เราทำให้เกี๊ยกวุ่นวาย อ้าว… นี่ถ้าเป็นคนอื่นจะโดนด่าไม๊เนี่ย พอป๊ากับหมะกลับปุ๊ป เกี๊ยกก็บอกว่า น่าอิจฉาเราจริงๆ ที่มีพ่อกับแม่เป็นห่วงเราขนาดนี้ เราได้แต่ยิ้มๆ แต่ในใจพูดว่า "ไม่ต้องอิจฉาหรอก เกี๊ยกก็มาเป็นลูก(เขย)ดิ" หุหุหุ…

Sunday, December 10, 2006

Surprise!

เราถามพี่สุชาติว่าเสาร์นี้จะหยุดไม๊ เพราะงานก็น้อยโคตรๆ หยุด ๓ วัน จะได้ไปไหนกันได้ เฮียก็ยืนยันว่าไม่หยุด แต่พอเราไปถึงออฟฟิส ๑๑ โมง (เพราะแวะไปเคลมรถที่ถูกชนเมื่อวันก่อนก่อน จะได้ซ่อมตอนเราไปเที่ยวให้เรียบร้อย) ทุกคนกำลังเก็บของกันอยู่ อ้าว! รู้งี้ตูกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เซ็งเลย ว่าแล้วก็ไปซื้อตั๋วรถทัวร์กลับบ้านดีกว่า

คราวนี้เป็นครั้งแรกที่เราลงรถที่ปัตตานี ด้วยความเข้าใจว่าท่ารถมันจะสว่างไสวเหมือนที่หาดใหญ่ เราเลยตกลงกับเกี๊ยกว่าจะโทรหาเกี๊ยกตอนที่เราถึงแล้ว เกี๊ยกจะได้ไม่ต้องตื่นเช้าเกินไป แต่ที่ไหนได้ สถานีรถดันไม่เปิด เมืองก็เงียบจนน่ากลัว ก่อนที่เราจะสติแตก เราเลยต้องโทรหาเกี๊ยกอีกรอบ คราวนี้เราไม่ยอมวางหู ให้เกี๊ยกคุยเป็นเพื่อนเราตลอดเวลา รู้สึกว่าเป็น ๕ นาทีที่นานมากกกกกก… แต่พอถึงบ้านเราก็คุยกับเกี๊ยกได้ไม่นาน ก็ง่วงสุดๆ เลยเผลอหลับบนโซฟาไปงีบนึง พอเช้าเกี๊ยกก็พาเราไปซื้อตั๋วกลับภูเก็ต แต่ จนท. ใจดี ไม่ยอมให้เราจ่ายเงินซื้อตั๋วตั้งแต่สุไหงโกลก เราเลยต้องฝากเกี๊ยกมาซื้อวันที่จะเดินทาง แล้วเกี๊ยกก็ส่งรถขึ้นแท๊กซี่กลับยะลา เนื่องจากอยู่ในช่วงกักบริเวณห้ามออกนอกเขตปัตตานี เราเลยเซ็งเล็กๆ ว่า เราแก่จนไม่มีเสน่ห์แล้วจริงๆ -_-" Anyway ก็เป็นไปตามที่เราคิด ทุกคนตกใจกันหมดที่เห็นเรา เพราะเราพึ่งกลับมาอาทิตย์ที่แล้วนี่เองนิ

คราวนี้เหวินเฉียงครบเดือนแล้ว เราเลยถามเทียนให้แน่ว่า ตกลงจะตั้งชื่อลูกว่าอะไร เทียนยืนยันว่าให้ชื่อ "เหวินเฉียง" แน่นอน งานนี้หลานเราเลยกลายเป็นพระเอกเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ไปเลย ส่วนหมะกับป๊าก็สรุปแน่นอนว่า จะให้เหวินเฉียงเรียกว่า "ผอผอ" กับ "กงกง" ส่วนพ่อ-แม่ของส่วนตกลงให้หลานเรียกว่า "อาม่า" กับ "อากง" ซึ่งตอนแรกเรากะให้เหวินเฉียวเรียกเราว่า "อาอี๋" เหมือนลูกของแจ้ แต่เพื่อไม่ให้มันสับสนในชีวิตมากเกินไป เพราะเรียกปู่-ย่า-ตา-ยายสลับกันไปหมดแล้ว เราเลยตกลงแทนตัวเองเป็น "เอ้อกู"

เราทำเป็นปรึกษาหมะเรื่องกิจการเค้กไอติม ปรากฎว่าหมะดีใจใหญ่เลยที่เราจะกลับมาอยู่บ้าน รีบทุ่มทุนสร้างออกตังค์ให้เราทันที แต่เทียนบอกว่า อย่าเลย ให้ทำน้ำแข็งหลอดดีกว่า เราเลยบอกว่า ไม่เอา เพราะเจ๊ลี่ (พี่สะใภ้เกี๊ยก) ทำแล้ว เราทำน้ำแข็งซองดีว่า โดยกะหุ้นกับเจ๊ลี่ตี "โรงงานน้ำแข็งบ้านดี" ให้แตกไปเลยดีกว่า เทียนขำใหญ่เลยพร้อมตั้งชื่อโรงงานน้ำแข็งโรงใหม่นี่ให้เรียบร้อยเลยว่า "โรงงานน้ำแข็งบ้าน(สะใภ้ตัว)ดี" 555… Anyway หลังจากที่เราดูโรงงานน้ำแข็งของเกี๊ยกแล้ว เราก็รู้สึกว่าทำโรงงานน้ำแข็งนี่ก็ยากเหมือนกันแฮะ ไหนใครบอกว่าสบาย เฮอะ! แถมพอเกี๊ยกบอกว่า ช่วยกัน ๓ คนพี่-น้องบางยังไม่ค่อยจะทันเลย เราเลยรู้สึกทึ่งกับเจ๊ลี่ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวแล้วสามารถทำได้ (แถมเลี้ยงลูกสองคนอีกต่างหาก) ถึงเธอจะมีพ่อ-แม่ช่วยอยู่บ้างก็เถอะ เราก็รู้สึกว่า เธอเก่งใช้ได้เลยทีเดียวล่ะที่ทำมันได้ เพราะให้เราทำ เรายังไม่รู้เลยว่าจะทำได้รึป่าว… คงทำได้แค่นับถุงน้ำแข็งละมั๊ง…

Tuesday, December 5, 2006

๓ รอบแล้วเรา

แก่โคตรๆ เผลอแป๊ปเดียวก็ปาเข้าไป ๓ รอบ นับว่าได้มาถึง "แยกเกษตรฯ" แล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะถึง "หลักสี่" เป็นแน่ ฮือๆๆ หมูเป็นคนแรกที่ message มาอวยพร แล้วคนอื่นๆ ก็ทะยอยกันมาก วันนี้หมะเลยทำกับข้าวกลางวันให้กินเป็นพิเศษที่บ้าน จากปกติที่ไม่ได้ทำ เพราะเดี๋ยวนี้ร้านเราเลี้ยงข้าวกลางวันพนักงาน โดยจ้างคนมาทำกับข้าว แล้วทุกคนรวมถึงคนที่บ้านเราก็ไปกินกันที่โรงอาหารที่สร้างใหม่ แต่พอป๊าเห็นกับข้าวก็ถามว่า ทำไมไม่มีผัดหมี่ เพราะวันเกิดต้องกินบะหมี่ เราเลยตอบแซวๆ ว่า ก็เป็นลูกสาวนิ ได้กินแค่ผัดสะตอเท่านั้นแหละ หมะเลยยิ้มเขินๆ แล้วบอกว่า เตรียมไม่ทันจริงๆ เพราะต้องดูอาหารให้ส่วนด้วย เอาไว้คราวหน้าจะทำให้กินนะ วันเกิดเราปีนี้เราให้ของขวัญหมะเป็นออยใส่ผมของ Body Shop เพราะเห็นว่าผมหมะดูแห้งๆ ทำเอาหมะปลื้มยิ้มไม่หุบ ดีใจจัง… : )

ตอนส่วนท้องเทียนบอกว่าอยากมีลูกซัก ๔ คน เพราะทุกวันนี้มีกัน ๓ พี่น้อง เทียนว่ามันน้อยไป แต่วันนี้เทียนบอกเราว่า เทียนเปลี่ยนใจแล้ว มีคนเดียวก็พอ เพราะค่าใช้จ่ายเยอะมากทั้งของแม่และของเด็ก ตอนแรกนึกว่า พอคลอดแล้วแม่ก็ไม่ต้องบำรุง ที่ไหนได้ ต้องบำรุงมากกว่าเก่าอีก เพราะกลัวว่าน้ำนมจะไม่มีคุณภาพ แถมยังเสียเงินค่าสำลี, กระดาษทิชชู, แพมเพิส ฯลฯ บานตะไท เราเลยงงๆ นี่มันก็ประหยัดค่าเสื้อผ้าเด็กไปตั้งเยอะแล้วนะ เพราะคนขนกันมาให้เยอะแยะ ส่วนแพมเพิสก็ใส่เฉพาะตอนกลางคืน กลางวันก็ใช้ผ้าอ้อม ลูกก็กินนมแม่เป็นหลัก ค่าคนเลี้ยงก็เป็นหมะออกให้ (หมะบอกว่า รู้สึกผิดที่ช่วยเลี้ยงหลานไม่ได้ หมะไม่กล้าอุ้มเด็กเล็กมากๆ เลยตกลงจ้างเจ๊เนี๊ยวมาช่วยเลี้ยง ๒ เดือน) เราเลยปลอบใจว่า เอาน่ะ แจ้ลดค่าตัวเหลือเดือนละ ๒,๐๐๐ บาทก็ได้ (ทุกวันนี้แจ้จ้างพี่เลี้ยงลูกสาวเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท) แล้วแถมแจ้จะไปขอเสื้อโอกิมาให้เหวินเฉียงนะ มันดันรีบตอบตกลง ไม่มีลังเลใจเลย ทีนี้อิชั้นจะทำงัยดีละเนี่ย…

เนื่องจากเราจะกลับภูเก็ตวันนี้แล้ว เลยต้องให้ของขวัญหลานก่อน จากตอนแรกที่คิดว่าจะให้ตอนทำบุญครบเดือน เราให้กำไลข้อเท้านาค ๑ คู่ (หมะไม่ยอมให้เราให้กำไลทอง บอกว่า เดี๋ยวจะเป็นการล่อตาล่อใจโจร หลานจะซวยเอา) ตอนให้กำไลเราเลยถือโอกาสสะกดจิตเหวินเฉียง ๓ รอบว่า "เอ้อกูรักเหวินเฉียง เหวินเฉียงก็ต้องรักเอ้อกูมากๆ และต้องเลี้ยงดูเอ้อกูตอนแก่ด้วย" แล้วก็แอบเห็นว่า แม่มันยืนปาดเหงื่ออยู่ หุหุหุ…

คราวนี้เกี๊ยกไม่มาส่งเราที่ บขส. เพราะติดงานจุดเทียนชัยถวายพระพรฯ เราเลยเซ็งๆ เล็กน้อย แต่ไม่เป็นไร ก็ (พยายาม) เข้าใจอะนะว่า ปีนี้คนไปร่วมงานน้อย เพราะกลัวระเบิด ประธานจัดงานก็จะจ๋อยน่าดู ถ้าไปได้ ก็น่าจะไปร่วมงาน เพราะป๊าก็ไม่ขับรถมาส่งเราเหมือนกันด้วยเหตุผลเดียวกับเกี๊ยก เทียนเลยต้องมาขับให้แทน เที่ยวนี้เลยกลับภูเก็ตแบบจ๋อยเล็กๆ เฮ้อ… แอบรักเขาข้างเดียวข้างหนียวนึ่ง (เป็นอย่างอื่นนึ่งจะได้ไม๊หน๊อ…) นี่มันแย่จริงๆ …

Saturday, December 2, 2006

เด็กสอดรู้สอดเห็น

อาอี๊อีกคนที่อยู่ปัตตานีแวะมาเยี่ยมลูกเทียน อี๊มากับครอบครัวลูกแก พอผู้ใหญ่อยู่รวมกัน ก็คุยกันใหญ่เลย คุยกันซักพักอี๊ก็บอกให้เงียบๆ กันหน่อย เพราะเหวินเฉียงหลับอยู่ เดี๋ยวจะตกใจตื่น แต่หมะบอกว่า ไม่เป็นไร เหวินเฉียงชอบเสียงคุยกันดังๆ ขนาดร้องๆอยู่ ยังหยุดมาทำตาเหลือกไปมา (มันยังหมุนคอไปมาไม่ได้ เลยใช้ตาเหลือกไปมาแทน) ว่าผู้ใหญ่คุยอะไรกัน ซึ่งส่วนก็ยืนยันอย่างนั้นเหมือนกัน หมะเลยสรุปว่า เหวินเฉียงเป็นเด็ก "สอดรู้สอดเห็น" อันนี้เกี๊ยกก็คอมเมนท์อีกว่า ให้บอกว่าเหวินเฉียงเป็นเด็ก "อยากรู้อยากเห็น" เพราะเขาสนใจเรื่องที่ผู้ใหญ่พูดตะหาก หมะเลยแจกเฮียเกี๊ยกไปอีก ๑๐ คะแนน ในฐานะที่เป็นคนพูดจาสุภาพเรียบร้อย แล้วหันมาอบรมเราว่าให้พูดกับเกี๊ยกดีๆ อย่ากระโชกโฮกฮากเป็นอันขาด อ้าว! งัยมาลงที่เราละเนี่ย… -_-"

พอเย็นๆ แจ้ก็แวะมาหา แล้วเลยเม้าท์กับเราว่า แจ้ชอบอีกชื่อที่หมะตั้งมากกว่า เพราะออกเสียงคล้ายกันทั้งภาษาไทย (ปองคุณ) และภาษาจีน (เป๋อคุน) แต่ก็ไม่กล้าขัดป๊า แล้วก็พูดขำๆ ว่า "ดูดิปู่มัน ชื่อ "อาตง" หลานมัน ชื่อ "อาเฉียง" แล้วคนต่อไปจะไปทางไหนละเนี่ย เพราะ "ตรง" ก็แล้ว "เฉียง" ก็แล้ว" 555…

Friday, December 1, 2006

หนุ่มน้อยขวัญใจคนใหม่

ตอนแรกตกลงกันว่า เราจะลงรถที่ปัตตานี แต่พอดีเกี๊ยกมีธุระที่หาดใหญ่ เลยให้เราเปลี่ยนมาลงที่หาดใหญ่แทน แต่รถมาถึงหาดใหญ่เช้ามากๆ เกี๊ยกกับเราเลยตกลงกันว่า ให้รออยู่หาดใหญ่ไปจนกว่าจะสว่างแล้วค่อยขับรถกลับยะลากัน เลยต้องไปหาร้านกาแฟนั่งกัน แต่สงสัยเกี๊ยกจะง่วงมาก เลยขับรถสวนวันเวย์ จนโดนตำรวจขี่มอเตอร์ไซค์ประกบแล้วเรียกให้จอด (นี่ถ้าเป็นยะลาเราคงคิดว่าเป็นโจร จะต้องโดนยิงตายแน่นอน เฮ้อ…) แล้วคุณตำรวจก็อบรมเกี๊ยกเรื่องความปลอดภัยในการขับรถอยู่พักนึง ก็ปล่อยตัว ฮ้า… เรางี้งงจนขอบคุณคุณตำรวจแทบไม่ทัน แต่เกี๊ยกบอกว่า ไม่ค่อยแปลกใจ เพราะตอนนี้ตำรวจคงไม่ค่อยเข้มกับพวกรถทะเบียน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้นักหรอก เออ… ก็คงจริง พอมาถึงยะลา หมะงี้ดีใจมากๆ รีบทอดโรตีมาให้เกี๊ยกกิน ตัดเป็นชิ้นๆ มาเรียบร้อย ส่วนของเราให้ฉีกเอาเอง (อ้าว!) ก่อนกลับเราก็พาเกี๊ยกไปดูหน้าหลาน ซึ่งตามศักดิ์แล้ว หลานเราจะต้องเรียกเกี๊ยกว่า "อาแปะ" แต่เจ๊เนี๊ยว - Nanny ซึ่งรู้จักกับเกี๊ยก (เดี๋ยวจะนินทาต่อไป) บอกว่า อย่าเลย เพราะเกี๊ยกยังไม่ได้แต่งงาน แฟนเทียนเลยบอกว่า งั้นให้เรียกเฮียเกี๊ยกละกันจะได้ไม่ทำร้ายจิตใจกันจนเกินไป เกี๊ยกเลยรอดพ้นจากการเป็น "อาแปะ" แบบหวุดหวิด แต่พอเกี๊ยกกลับปุ๊ป เจ๊เนี๊ยวก็รีบถามเราทันทีว่า ทำไมเกี๊ยกมาที่บ้านเรา เราเลยต้องโกหกแกว่า เกี๊ยกมาธุระที่ยะลา แล้วเลยแวะมาเยี่ยมหลาน แต่ดูเจ๊จะไม่ค่อย convince แฮะ

พอเกี๊ยกกลับเราก็มีเวลามาชื่นชมหนุ่มขวัญใจคนใหม่ของเรา - ด.ช. เหวินเฉียง มันน่ารักมากๆ นอนทั้งวัน (มิน่าล่ะ รูปที่เทียนส่งมาถึงเป็นรูปเหวินเฉียงหลับตาพริ้มซะเป็นส่วนใหญ่) ไม่ค่อยร้องไห้ แล้วถ้าร้องไห้ ก็ไม่แสบหูเหมือนหลานสาว ๒ คนของเรา นับเป็นบุญของแม่มัน (ตอนแรกเราบอกกว่า นับเป็นบุญของพ่อ-แม่มัน แต่เฮียเกี๊ยกทักว่า ให้พูดอีกครั้งว่า จริงๆ แล้ว เป็นบุญของพ่อ-แม่ หรือเป็นบุญของแม่คนเดียวกันแน่ เราเลยมานั่งคิดๆ ดูใหม่ ในกรณีนี้ต้องถือว่าเป็นบุญของแม่ เพราะตอนกลางคืนเทียนหลับยาวตลอด ไม่เคยตื่นมาอุ้มลูกเลย ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก เพราะเสียงกรนเทียนดังกว่าเสียงร้องไห้ของลูกซะอีก) แต่มันตัวใหญ่มาก ดูแล้วเหมือนเด็ก ๓ เดือน มากกว่าเด็ก ๓ อาทิตย์ แต่เราก็ยังไม่กล้าอุ้มอยู่ดี เพราะกลัวจะทำลูกเขาคอหักไปซะก่อน เอาไว้เหวินเฉียง ๓ เดือน จริงๆ "เอ้อกู" ค่อยอุ้มหนูก็แล้วกันนะคะ งานนี้เรารอดตัวหวุดหวิด เพราะในภาษาจีนจะแบ่งแค่พี่สาว-น้องสาวของฝั่งพ่อ ซึ่งเรียกเหมือนกันว่า "กูกู" ในภาษาจีนกลาง หรือ "โกว" ในจีนแต้จิ๋ว กับพี่สาว-น้องสาวของฝั่งแม่ ซึ่งเรียกว่า "อี๋" หรือ "อี๊" งานนี้เราเลยไม่ต้องเป็น "ป้า" ให้ปวดใจ แล้วแจ้ก็สรุปว่าจะให้หลานเรียกเป็นภาษาจีนกลาง เราเลยได้เป็น "เอ้อกู" เเพราะเป็นป้าคนที่ ๒ ในขณะที่แจ้เป็น "ต้ากู"

อะแฮ่ม… หลังจากชื่นชมหลานเสร็จแล้ว ก็ถึงคิวนินทา "เจ๊เนี๊ยว" ซะที เจ๊เนี๊ยวปีนี้อายุประมาณ ๕๐ แต่งงานแล้ว แกมีอาชีพรับเลี้ยงเด็กทารกโดยเฉพาะ ซึ่งถือได้ว่ารายได้ดีมาก จัดเป็น Professional Service Fee ไม่ใช่ Wages เพราะเจ๊เนี๊ยวเรียกเก็บค่า Fee เลี้ยงหลานเราที่อัตรา ๑๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน กิน-อยู่กับพ่อ-แม่เด็ก (ภาษีก็ไม่ต้องจ่ายอีกตะหาก) โดยเจ๊จะ Station ที่ยะลา ถ้าต้องเดินทางไปเลี้ยงที่อื่น เช่น กรุงเทพฯ ก็ต้องออกค่าเดินทางให้ด้วย นี่เจ๊ยังบอกอีกว่า ราคาที่เก็บเทียนนี่เป็นราคากันเองแล้วนะ เพราะตอนนี้เจ๊เรียกเก็บค่าบริการที่อัตรา ๑๗,๐๐๐ - ๑๘,๐๐๐ บาทต่อเดือน ซึ่งเราก็เชื่อว่าเจ๊เนี๊ยวทำงานได้ดี เพราะเจ๊เนี๊ยวจะได้งานโดยการบอกต่อๆ กันมา อย่างพี่สาวเราก็ใช้บริการเจ๊เนี๊ยวทั้ง ๒ ครั้ง แล้วก็แนะนำมาให้เทียนด้วย แถมเจ๊ยังคุยให้ฟังว่า เจ๊โกอินเตอร์ฯ มาแล้วด้วย เพราะเคยบินไปเลี้ยงลูกให้พี่สาวเกี๊ยกที่เกาหลีมาแล้ว โอ้… :-O เราถึงรู้ว่า บ้านเกี๊ยกก็ให้เจ๊เนี๊ยวเลี้ยงหลานๆ ทุกคนเหมือนกัน (มิน่าล่ะ ตอนเจอกัน ทั้งสองคนถึงได้ชะงักกันนิดนึง) อืม… เชื่อแล้วว่า มืออาชีพจริงๆ แต่เราบอกเทียนว่า แต่ถ้าลูกโตแล้ว ก็ต้องเป็น "เจ๊หนิง" นะ เพราะสามารถสอนได้ทั้งวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นเลข, ฟิสิกส์, เคมี, ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน ฯลฯ และดนตรี ตลอดจนกีฬา - เทนนิส, สคอช, ว่ายน้ำ แถมดำน้ำด้วยอ่ะ คิดไม่แพง แค่เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท เท่านั้น แถมยังสามารถขับรถรับ-ส่งได้ด้วยนะ คุ้มสุดๆ คิดดูให้ดีๆ ขอโบกกกกก…

หญิงโทรมาบอกว่า ตกลงจะไปฮ่องกงด้วยแล้ว เย้! ดีใจจัง ได้คนมาแชร์ค่าห้อง แต่ใจนึงก็กลัวหญิงจะเซ็ง เพราะต้องไปดีสนีย์ซ้ำกับปีที่แล้ว และคงไม่ได้ช็อปเท่าไหร่ เพราะมีเด็กๆ ไปด้วย เลยรับปากหญิงว่า คืนที่ ๒ เราจะออกไปเที่ยวกับหญิง เพราะเพื่อนหญิงที่ฮ่องกงจะพาไปดริ๊งค์ (ตอนนี้เราแก่แล้ว เลยไม่ชอบเที่ยวกลางคืนแล้ว) แต่คืนแรกขอไปบ้านดิวก่อนนะ