Wednesday, December 31, 2008

หมดไปอีกปี

หงให้คิดเรื่อง ๕ ชอบ กะ ๕ ไม่ชอบ ไว้อัดรายการ “ช่างคุย” เราคิดหัวแทบแตก เรื่อง ๕ ไม่ชอบ คิดได้แค่ ๓ เรื่องเอง แหม... นี่อิชั้นดูเป็นคนที่มีความพึงพอใจในชีวิตไม่น้อยนะเนี่ย สุดท้ายก็มั่วๆ ให้คุณภาสกรไปได้อีกเรื่อง

เอาเรื่อง “๕ ชอบ” ก่อน

๑) “ช่างคุย” เพราะมันทำให้เราได้กลับมาเจอเพื่อนๆ และได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น มีกิจกรรมดีๆ เพิ่มเติมในชีวิต (ไม่รู้หงฟังแล้วน้ำตาจะไหลรึป่าว ฮ่าๆๆ)

๒) “มัลดีฟส์” เพราะเป็นครั้งแรกที่เราได้ไป “พักผ่อน” จริงๆ ตอนไป “สิปาดัน” เราว่า ก็ “พัก” แล้วนะ แต่ก็ไม่เท่าวะ สงสัยว่า ถ้าได้ไป “สิปาดัน” อีก จะเลือกไม่ไปดำน้ำตอนบ่ายเหมือน นจว. ดู น่าจะมีความสุขนะ

๓) “เชียงใหม่” ไม่รู้เป็นเพราะอากาศดีด้วยรึป่าว แต่เรารู้สึกชอบเมืองนี้มากขึ้นทุกที ค่าครองชีพก็ถูก ผู้คนก็น่ารัก

๔) “๒๔” หลังจากที่ฟังใครๆ พูดถึงภาค ๑ ของซีรียส์เรื่องนี้มาชาตินึง ในที่สุดเราก็ได้ดู Day 6 ของซีรียส์เรื่องนี้ โอว... พระเจ้าจอร์จ มันมันส์มากๆ เลย พล็อตแน่นมาก ข้าน้อยขอคารวะคนเขียนบท ๓ จอก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ละครไทยจะไปถึงตรงนี้...

และ ๕) “ปร้ารอส” ถึงปร้าจะเรื่องมากและเป็นคนจริงจังไม่มีอารมณ์ขัน บวกขี้ประชด แต่ปร้าโปรฯ มาก คำไหนคำนั่น ไม่เคยต้องให้ทวงแบบ และแบบก็ทำมาตั้งใจ มีที่มาที่ไป อธิบายได้ ไม่เคยเขี่ยๆ แบบส่งมาเลย เราถามอะไรไป ปร้าตอบเร็วมาก เคลียร์แบบให้เราชัดเจน แถมบางทียังโทรมาอธิบายอีกรอบ ถ้าเราเมลล์ไปบอกว่า เราไม่ค่อยแน่ใจที่ปร้าตอบมา แถมที่เรานับถือที่สุด คือ ปร้าช่วยตรวจแบบโครงสร้างกับแบบงานระบบด้วยว่ามันแย้งกับแบบสถาปัตยฯ รึป่าว เราไม่เคยเจอสถาปนิกแบบนี้เลยวะ โคตรจะรับผิดชอบงาน แถมยังมาตรวจไซท์ทุกเดือน แบบว่า ขอมาเองเลยอ่ะ ผิดกลับสถาปนิกที่เราเจอๆ บอกว่าให้ช่วยเข้ามาเคลียร์แบบด้วย ก็ยังตามยากตามเย็น จนสุดท้ายเราต้องตัดสินใจทำไปเองเลย ก็เพราะเป็นแบบนี้แหละ ตึกในบ้านเราถึงได้ดูแปลกๆ เพราะเล่นให้วิศวกรตัดสินใจนี่เอง เฮ้อ...

ส่วน “๔ ไม่ชอบ” มี

๑) “การเมือง” เกลียดรัฐบาล เกลียดนายกฯ เกลียดเสื้อเหลือง เมื่อไหร่ประเทศชาติถึงจะสงบวะ

๒) “โจรใต้” นี่ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ก็ยังมีทหารถือปืนอยู่ตามด่านต่างๆ ระหว่างทางหาดใหญ่-ยะลา จะกลับบ้านก็กลับไฟลท์ค่ำไม่ได้ เพราะไม่มีรถตู้วิ่งแล้ว แล้วยังจะประท้วงกันเข้าไปอีก เออ... เอากันเข้าไป แล้วยิ่งเวลามีตำรวจมารีดไถที่ไซท์นะ เราแทบอยากด่าจริงๆ ทำไมไม่ไปจับโจรใต้วะ!

๓) “ภาวะเศรษฐกิจ” ตอนแรกก็เฉยๆ นะ เพราะว่าคราวนี้เราไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงเหมือนฟองสบู่คราวที่แล้ว แต่อันนี้เราคิดเพิ่มเติมตามที่คุณภาสกรเธอสั่งมา ก็อยากให้ประเทศชาติกลับมาเศรษฐกิจดีๆ เงินสะพัดมากๆ คนไทยจะได้มีความสุขรับปีใหม่

และ ๔) “แก่ไปอีก ๑ ปี” อันนี้ทุกคนฟังแล้วขำมาก เบ้บอกว่า ตอนซีรียส์ ๒ ก็ว่าชีวิตผ่านไปเร็วแล้วนะ แต่พอซีรียส์ ๓ เนี่ย เวลาผ่านไปโค-ตะ-ระเร็วเลยจริงๆ เผลอตัวอีกที คงไปถึงดอนเมืองกันแล้วล่ะ โฮๆๆ

ส่งท้ายปีด้วยเรื่องของตัวเรา เริ่มจากเรื่องงาน ปีนี้เหนื่อยโคตรๆ กลับบ้านค่ำๆ มืดๆ เกือบทุกวัน หวังว่าปีหน้าจะดีขึ้นน๊า...

ส่วนเรื่องสุขภาพกาย จากที่เราตั้งใจว่าจะออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ ๒ วัน แต่กว่าจะได้ทำก็ปาเข้าไปช่วง ๓ เดือนสุดท้าย แถมกะพร่องกะแพร่งอีกตะหาก ปีหน้าต้องออกตัวให้ดีซะแล้ว

ตามด้วยสุขภาพการเงิน ปีนี้ไปเที่ยวเยอะมากกกกกก คงเป็นเพราะปีที่แล้วไม่ได้ไปไหนเลย หวังว่าปีหน้าจะได้เที่ยวเยอะๆ อย่างปีนี้นะ ซ๊าธุ...

เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องความรัก ปีนี้ถือว่าแย่มาก เพราะไม่มีแฟน แถมแอบปลื้มหนุ่มมีเมียแล้ว ยังไม่พอ กิ๊กหนีไปแต่งงานอีกตะหาก ทำไมน๊า... ไอ้คนที่เราชอบเขา เขาก็ไม่ชอบเรา โลกนี้วุ่นวายจริงหนอ... Anyway หวังว่าปีหน้าจะยังไม่ต้องไปผ่าตัด จะได้เก็บรังไข่ไว้เผื่อมีลูก คนเราต้องมีความหวัง สู้โว๊ยยยยย...

Sunday, December 21, 2008

เก็บตกเชียงใหม่


หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจซื้อของเข้าบ้าน วันเสาร์ก็ไปเที่ยวกัน เริ่มจากไปงานกุหลาบก่อน เพราะบังเอิญมาจัดงานช่วงนี้พอดี กุหลาบเยอะมาก สีแปลกๆ ก็เยอะ เลยได้ถ่ายรูปกันเพลิน เสียดายที่ซื้อกลับมาปลูกที่ กทม. ไม่ได้ เสร็จแล้วไปสวนสิริกิตต์ฯ กัน ตามด้วยการกินข้าวที่ร้านโป่งแยงฯ เป็นสูตรสำเร็จรูป แต่ก็ไม่ผิดหวัง เพราะรสชาดดีไม่เปลี่ยนแปลง แล้วเรา Request ไปพราวภูฟ้า รีสอร์ท เลยต้องขับรถอ้อมไปไกล ไปถึงก็ผิดหวังเล็กน้อย เพราะรีสอร์ทเล็กนิดเดียว และที่สำคัญเสื้อยืดก็ไม่น่ารักเหมือนเวลาไปออกงานแฟร์ต่างๆ แต่เราก็ซื้อมา ๑ ตัว เราว่าพราวภูฟ้าเหมาะแก่การไปฮันนีมูน แบบว่าไม่ต้องออกจากรีสอร์ทไปไหนอีกเลย เพราะว่าอยู่ไกลออกมาจากแม่ริมมาก

ตอนแรกคิดว่าจะไปแช่บ่อน้ำร้อนกันต่อ แต่ปรากฎว่าเราเลยเถิดกันไปมาก เลยไปไม่ทัน ปุ๊กเลยให้ไปที่พักเลย ระหว่างทางก็ลองแวะไร่วนิดาที่ตอนแรกนึกว่าจะพักกัน พอเห็นของจริง เราว่าโชคดีที่ไม่พักวะ เพราะดูน่ากลัวเล็กน้อย (คงเป็นเพราะเราไม่ชอบอะไรที่เป็นแนวล็อคโฮม) แล้วถึงได้ไปบ้านไร่ล้านนาที่จองเอาไว้ งานนี้รูปไม่หลอก เพราะสวยจริง แต่ทั้งรีสอร์ทมีแต่คณะเรา โคตรจะงียบ จนปุ๊กมุขว่าลุงที่มาเสริฟ์อาหารไม่ใช่คน ได้บรรยากาศหนังผีมากขึ้นไปอีก โชคดีที่ตอนหลังเจ้าของรีสอร์ทมานอนด้วย เลยค่อยลดความน่ากลัวลงหน่อย ตอนแรกเรากะนอนเล่นไม่ไปไหนแล้ว แต่ดูทั่นผู้ว่าฯ อยากไปแช่น้ำร้อนมาก เช้ามาก็เลยต้องตะกายไปบ่อน้ำร้อนกัน น้ำก็อุ่นดี แช่แล้วก็สบายตัว แต่ทางไปลำบากหลายเลี้ยว เล่นเอาอิชั้นจะเมารถซะให้ได้ พอแช่น้ำเสร็จ ก็แวะส่งหมูที่สนามบิน แล้วไปปิดท้ายที่ตลาดวโรรส

ถึงจะไปเที่ยวแบบสั้นๆ และมีกิจกรรมค่อนข้างเยอะ ไม่ได้แวะปล่อยอารมณ์ตามความตั้งใจเดิม แต่เราก็ชอบทริปนี้ (อาจจะเป็นเพราะอากาศหนาวกำลังดีด้วย) อยากจะไปเชียงใหม่อีก อยากไปนอน Guest house กิ๊บเก๋ที่ถนนนิมมานฯ ตื่นมาจิบกาแฟชิลๆ ตกค่ำก็ไปเดินเล่นถนนคนเดิน คงมีความสุขดีไม่ต้องมีรีสอร์ทเป็นของตัวเองก็ได้ แต่เอ... ไม่รู้ว่าเอจะยอมปันที่ท้ายไร่ที่เขาใหญ่ให้เราปลูกบ้านไว้นอนนับดาวเล่นรึป่าวน๊า...

Saturday, December 20, 2008

ตะลุยบ้านถวาย

เมื่อวานหมู, ปุ๊กและแม่ไปกันก่อน ส่วนเราตามไปตอน ๓ ทุ่ม เพราะติดต้องพี่รอสไปดูโรงงานที่คลอง ๑๒ แล้วกลัวว่าจะไปขึ้นเครื่องตอนทุ่มนึงไม่ทัน เลยไปจัดการเลื่อนตั๋วเรียบร้อยชนิดไม่ต้องถามพี่ณัฐ ปุ๊กเลยแซวว่า กลุ่มเราไม่มีความพอดี คนนึงก็ไม่ยอมนายซักอย่าง อีกคนก็ยอมซะทุกอย่าง ตอนนั่งรอขึ้นเครื่องถึงมีเวลามานั่งคิดถึงที่ที่พี่เอบอกว่า เป็นผู้หญิงไม่ต้องขยันทำงานมากก็ได้ แต่ก็ลืมไปได้ซะสนิทภายใน ๓ วัน แย่จริงๆ เลย ต้องปรับปรุงตัวใหม่แล้วนะเนี่ย พอไปถึงไผกับน้ำผึ้งก็มารับไปส่งที่ แถวๆ สนามบิน คืนละ ๙๐๐ ยาท แต่สภาพดีเชียว ค่าครองชีพที่นี้ถูกจริงๆ เลยวะ เชียงใหม่น่าอยู่จริงๆ นะเนี่ย

เช้ามาน้าแดงก็มารับไปตะลุบบ้านถวาย เราไปเริ่มกันที่ร้านที่ หห. แนะนำ เด็กในร้านจำคุณอุ่นได้ ก็เลยชวนคุย เราเลยมุขไปว่า เราจำนามสกุลใหม่ หห. ไม่ได้หรอก จำได้แต่นามสกุลเดิมของ หห. เพราะเป็นนามสกุลเดียวกับเจ้าของห้างเซ็นทรัล ทำเอาเด็กในร้านอึ้งไปเลย ๕๕๕...

แวะกันไปหลายร้านจนค่ำ ทำเอาแม่เครียด แต่ก็ได้ของครบ ที่จริงเราว่า ค่อยๆ หาไปก็ได้ แต่ผู้ว่าฯ ไม่สามารถที่ทำงานไม่เสร็จ เธอต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ระหว่างที่รอปุ๊กเลือกเฟอร์ฯ เราก็ได้ที่วางทีวีใหม่มา ๑ ตัว แต่หนาแค่ ๔๐ ซม. เลยคิดว่าจะต้องซื้อทีวีใหม่ด้วย โอว... ช่างเป็นคนมีฐานะ(ไม่ดี)จริงๆเลย จนปุ๊กบอกว่า แม่สงสัยจริงๆ นะว่า เราเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ เลยถือโอกาสแก้ตัวกะแม่ว่า เราไม่ได้ซื้อกองทุนเต็มแมกซ์เหมือนปุ๊กนะ เราเอาเงินไปซื้อของนอกกายตะหาก แล้วพอแก่ตัว ก็ย้ายไปอยู่บ้านเพื่อนฟรี ฮ่าๆๆ

ก่อนนอนเราสารภาพ(บาป)กับหมูเรื่องหนีไปเที่ยงมัลดีฟส์ แต่ปรากฎว่าหมูเฉยๆ อ่ะ ทำเอาเรากับปุ๊กผิดคาด แต่ก็ดี อิอิอิ... จะได้ไม่รู้สึกบาป ก็เลยแซวไปว่า หมูอยากไปไหนล่ะ เลือกได้ ๑ ทริป จะไปมัลดีฟส์ก็ได้นะ เพราะหมะก็เกิดอยากจะไปเหมือนกัน แต่ดอนยังไม่ตอบอะไร ก็ต้องลุ้นกันไปล่ะงานนี้...

Friday, December 12, 2008

Ex-Plus Re-union Dinner

พี่เอรวบรวมชาวEx-Plus มากินข้าวปีใหม่ด้วยกัน แต่มีพี่หมวยติดมาด้วย เลยไม่สามารถใช้คำว่า Ex-Plus ได้เต็มปากเต็มคำ แต่งานนี้วินไม่มา เพราะลูกยังเล็ก ส่วนพี่หนุ่ยก็ไม่ได้มา เพราะคุณแม่ลื่นล้มกระทันหัน เลยต้องแจ้นไป รพ. และคุณกำนันทรที่ติดงานด่วน ก็เลยมีแค่พี่เอ, พี่หมวย, โอ๋ (มาได้งัยวะ สงสัยพี่เอจะจีบมาทำงานด้วย), ทั่นรองวิศรุต, ปุ๋ย, น้อง และก็เรา เนื่องจากสาวๆ ที่มาจะโสดกันหมด ยกเว้นโอ๋ เลยต้องเช็คข่าวกันให้วุ่นวายว่ามีใครมีแววจะได้ย้ายออกจาก ม. คานทองนิเวศน์บ้าง โดยเฉพาะเราโดนไอ้ปุ๊ยซักแล้วซักอีก บอกว่าไม่มีก็ไม่เชื่อ นี่อิชั้นพึ่งอกหักมาหมาดๆ นะยะ พี่เอเลยเช็คพวกสาวโสดว่าทุกวันนี้เลิกงานกันกี่โมง เสาร์-อาทิตย์ทำอะไร แล้วก็สรุปว่า เป็นผู้หญิงไม่ต้องทำงานให้หนักหรอก เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ยิ่งเรามีโอกาสได้ดิวกับหนุ่มรวยๆ อยู่บ่อยๆ แล้วด้วย เราฟังแล้วนึกถึงที่ซินๆ พูดทันที น่านดิ สู้หาผู้ชายรวยๆ ซักคนแต่งงานไม่ได้ แต่แหมมมมมมม... พี่เอค่ะ ทำไมไม่พูดอย่างนี้ซะเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วละค๊า...

Friday, December 5, 2008

แก่ไปอีกปี

ผู้ว่าฯ มาขู่ว่า ๓ ตัวสุดท้าย ยัง... ปีหน้าตะหาก... แต่ใครๆ ก็ทักแบบนี้ ทักซะจนมีอยู่วันนึงอิชั้นตื่นขึ้นมาแล้วก็คิดว่า นี่กรู ๔๐ แล้วรึเนี่ย แก่โคตรเลยวะ ซักพักก็นึกขึ้นได้ว่า ยัง! โอ๊ย เครียด... อ่ะ เครียด... วันเกิดปีนี้ ป้าๆ ไปเลี้ยงติ๋มซำให้ (ร้านแถวซอยอารีย์ อร่อยดี-ราคาไม่แพง) หญิงบอกว่า ให้มีเลี้ยงของปุ๊กอีกรอบ ไม่งั้นเรากับปุ๊กต้องต่างคนต่างเลี้ยงอีกคนนึง ถือว่าเจ๊ากันไป โห... คิดได้งัยเนี่ย

ปุ๊กเอาการ์ดแต่งงานมาให้ จ่าหน้าซองว่า “อาจารย์พี่หนุงหนิง” เห็นแล้วขำดี เลยเก็บไว้เป็นที่ระลึกดีกว่า เพราะโลกใบนี้ มีแค่ไม่กี่คนที่เรียกอิชั้นแบบนี้ และเรียกซะจนเป็นชื่อทางการไปแล้ว ตลกดีจริงๆ

ค่ำๆ หมะโทรมาบอกเบอร์อี้ เพราะจะให้เราโทรไปนัดเพื่อไปเยี่ยมกู๋ สั่งงานเสร็จก็วางหูไป ทำเอาอิชั้นงงไปเล็กน้อย นี่หมะลืมวันเกิดเรารึเนี่ย ทั้งๆ ที่วันก็จำง่ายออก ดีนะเนี่ยที่แก่แล้ว เลยไม่งอน ฮ่าๆๆ...

Thursday, December 4, 2008

ใกล้บ้าล่ะ

ผู้ว่าฯ อยากรู้เรื่องดินเนอร์เวอร์ชั้นใส่ไข่ ๕๐๐ ฟอง ของอิชั้นมาก แต่ก็ไม่มีโอกาสจะเล่า (ทั้งๆ ที่อยากจะเม้าท์ใจแทบขาด) เพราะงานยุ่งมาก ทำไมนะเหรอ ก็ไม่รู้ ๒-๓ วันนี้ ตาพี่แตนของเรากินอะไรเข้าไป จู่ๆ มา comment shop drawing แหลกลาน แต่ shop พวกนี้ อิชั้นอนุมัติไปหมดแล้ว บางฉบับอนุมัติไป 2 เดือน แล้วด้วยซ้ำ ไม่รู้ตอนนั้นมันไปอยู่ที่ดาวอังคารรึงัย ที่เซ็ง คือ comment เฮียดันมาแย้งกับพี่รอสอีก งานนี้ไม่รู้มือประสาน ๑๕ ทิศ (๑๐ ทิศ ยังไม่พอ ๕๕๕... บ้าไปแล้ว) อย่างอิชั้นจะรอดตายรึป่าว เฮ้อ...

ยังไม่พอ ต้องไปตบกับอีตาประสาทเรื่องโอทีลูกน้องมันอีก ส่งมาให้ช้า แล้วมาบอกว่าต้องเซ็นเลยเดี๋ยวนี้ แถมยังทำมาไม่เรียบร้อย คิดผิด-คิดถูก บวกเลขแค่นี้ยังผิด ชีวิตนี้จะทำอะไรให้มันได้เรื่องซักเรื่องได้ไม๊เนี่ย เลยต้องเรียกมันมาตักเตือนความประพฤติลูกน้องมันอีก คิดว่าซักวันมันคงจะตบชั้นคว่ำไปเป็นแน่ (ตบด้วยมือจริงๆ) เบื่อ อ่ะ เบื่อ...วันนี้ใส่เสื้อใหม่สีแดงมาทำงาน ไอ้น้ำเต้าหู้บอกว่า “ดูน่ารักมากครับ” เอ่อ... เพื่อนๆ พี่-น้องค่ะ ขอตัวไปอ้วกก่อนนะคะ อ้วกกกกกกกกก...

ป.ล. งั้นจะเล่าดินเนอร์หวานหยดให้พอสังเขปละกันว่า เมื่อวานนี้อิชั้นไปดูตัวว่าที่น้องเขยมาแล้ว ตา ฟ. เป็นฝรั่งตัวเล็ก (เสียพันธุ์เยอรมันหมด) นี่ถ้าพี่ณัฐเห็นต้องบอกว่าเป็นฝรั่งแคระอีกคน ฮ่าๆๆ แต่เป็นคนสุภาพมากกกกกก ถาม นจว. นี่โน่นนั่นตลอดเวลา ส่วน นจว. ก็พูดจาดีไม่มีแขวะ (ก็แหงล่ะ คนพึ่งจะเจอกันเป็นครั้งแรก) ปาดอกไม้กันไปมาอยู่นั่นแหละ แหม... อิจฉาวุ๊... จนเราแอบคิดไม่ได้ว่า สงสัย Seasons หน้าปร้าๆ จะได้ไปดำน้ำที่เกาะเต่าซะแล้วววววว แล้วมา กทม. บ่อยๆ นะค๊า... คุณ ฟ. อิอิอิ...

Thursday, November 27, 2008

เกือบไม่ได้มาประชุม

เราไปชะเง้อคอยาวรอพี่รอสอยู่หน้าประตูตั้งแต่ ๙.๑๕ น. เพราะนัดกันไว้ ๙ โมง เอ... หรือว่าพี่รอสจะมาไม่ได้จริงๆ เพราะเป็นที่แน่นอกแล้วว่าพี่วิลกะพี่แตนมาไม่ได้ เพราะสนามบินโดนพวกเสื้อเหลืองปิด (แต่ที่จริงสงสัยเป็นเพราะโดนอาถรรพณ์ห้ามเข้าประเทศจากเราตะหาก ฮ่าๆๆ จะว่าไปก็เกลียดพวกเสื้อเหลืองวะ เศรษฐกิจประเทศยิ่งเลวร้ายอยู่ด้วย ทำอะไรไม่ได้นึกถึงประเทศชาติเลยนะ ขอสาปแช่งเลยนะ) แต่พี่รอสมาตั้งแต่เมื่อคืน น่าจะรอดนะ เพื่อความแน่นอน เราเลยโทรไปเช็คที่โรงแรม อ้อ... พี่รอสมาจริงๆ ด้วย พอ ๙.๓๐ น. พี่รอสก็เดินนวยนาดมา แล้ววันนี้ทั้งวัน พี่รอสก็ต้องตอบคำถามว่ารอดมาได้ยังงัย-แล้วสังเกตเห็นพวกมาประท้วงไม๊ไปร่วม ๕ รอบ เพราะใครเจอหน้าใครก็ถาม แต่ที่พี่รอสกังวลก็คือ แล้วจะกลับสิงคโปร์ยังงัยละนั่น แต่ใครๆ ก็คิดว่าคงปิดแค่วันสองวัน เดี๋ยวก็เปิดแล้วล่ะ เขาคงไม่ปล่อยให้ปิดสนามบินนานขนาดนั้นละมั๊ง แค่นี้ประเทศชาติก็ย่อยยับจะแย่แล้ว (พี่รอสบอกโรงแรมหงอยมาก ปกติเคาเตอร์เช็คอินจะต้องวุ่นวายตลอดเวลา คราวนี้เงียบเชียบมาก ชช. บอกว่า ลูกพี่หัวเสียมาก งานก่อสร้างก็ช้า โรงแรมก็มารายได้ตกอีก ทั้งๆ ที่เป็นไฮซีซั่น ตั้งแต่ปิดสนามบิน มีพี่รอสมาเช็คอินแค่คนเดียว ฟังแล้วก็ยิ่งเกลียดแม่-เข้าไปอีก) มาคราวนี้พี่รอสเลยได้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปีของ บ. ม. โดยมิได้ตั้งใจ และก็ไม่เสียแรงที่เป็นป้ารอส เพราะป้าบ่นไม่มีชุด ต้องไปช้อปปิ้งเสื้อผ้าด้วย ฮ่าๆๆ พี่ณัฐเหน็บว่า แล้วงัย มันต้องปัดมาสคาราด้วยป่ะ ปากจัดวะ ไม่พูดด้วยล่ะ

ปุ๊กแชทมาว่ากลัวว่าจะไม่ได้ไปเชียงใหม่ เราว่ามันอีกตั้งนาน มันคงไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก เฮ้อ... ที่มีตลกร้ายว่า พระเจ้าส่งคนไทยมาให้ประเทศไทยนี้ ตลกร้ายของจริงเลยวะ เซ็ง... อ่ะ เซ็ง...

Wednesday, November 26, 2008

เบลอ...

หง sms มาถามเราว่า ตกลงจะไปกินข้าวกับ ได้วันศุกร์นี้ไม๊ เราก็ยุ่งๆ ไม่ได้ตอบ ซะที พอเข้าห้องประชุม เราก็อาศัยจังหวะตา ปส. พร่ำพรรณาอยู่ sms กลับไปว่า “Yes, pl pick the place.” พอส่งไปแล้ว ก็ไม่มี sms ตอบกลับจากหง ไอ้เราก็งงๆ เพราะปกติหงตอบ sms เร็วมาก หรือว่าไอ้หงมันยุ่งมากจริงๆ วะ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันคงตอบมา จนประชุมเสร็จ ช่างแว่นเดินมาหาเราแล้วพูดว่า “ตกลงจะนัดอีกเหรอครับ แต่ตะกี้ในที่ประชุมก็ตกลงกันว่า จะไม่นัดแล้วนี่ครับ ตกลงจะเอางัยครับ” เราก็งงๆ ตอบไปว่า “ก็ไม่ได้นัดนี่คะ” แถมนึกในใจว่า เอ๊ะ ตานี่พูดจาไม่รู้เรื่องรึงัย แต่พอช่างแว่นถามกลับมาว่า “แล้ว sms นั่นคืออะไรครับ” เท่านั้นแหละ อิชั้นสติแตกทันที รีบคว้าโทรศัพท์มาดู ใช่จริงๆ ด้วย นี่อิชั้นเบลอได้น่ากลัวมาก กรูจะบ้าตาย ถึงว่าดิ หงเงียบๆ ไป ทั้งๆ ที่ปกติตอบ sms เร็วปรี๊ดสมดังอยู่ในแวดวงโทรคมนาคม เลยต้องขอโทษขอโพยช่างแว่นใหญ่ เขาหัวเราะแล้วบอกว่า “นี่คุณหนิงท่าจะทำงานหนักไปแล้วนะครับ ระวังผิดพลาดบ่อย รถไฟจะชนกันได้นะครับ” แหม... ก็อยากจะมีซักขบวนเหมือนกันละค๊า...

คราวนี้เลยต้อง sms ด้วยสติสัมปะชัญญะ และหงก็ตอบกลับมาใน ๓ วินาที ปุ๊กบอกว่า ดีเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ sms ผิดไปให้ไอ้น้ำเต้าหู้ เราว่าถ้าเป็นยังงั้น เราคงฆ่าตัวตายแน่นอน... แต่ในใจก็คิดว่า เออ... แต่ก็ยังดีที่เรา sms ไปว่า เราตอบรับนัดดินเนอร์ ช่างแว่นเลยมาถามเราตกลงนัดอะไร นี่ถ้าเรา sms ไปแนวขอนัดดินเนอร์ละก้อ... ไม่รู้ช่างแว่นจะคิดไปถึงไหนต่อไหนรึป่าวว่า เราจะแอบหลงรักเขาน่ะ คิดแล้วก็ให้สยองจริงๆ เลย...

Saturday, November 22, 2008

ได้แฟนแล้วเฟ้ย หุหุหุ...

จู่ๆ ไอ้น้ำเต้าหู้ (ปุ๊กตั้งชื่อให้มัน เพราะมันขยันซื้อน้ำเต้าหู้มาให้อิชั้นกินอยู่ได้ แต่ใครจะไปกินลง แหวะๆ) ซึ่งเป็นคนบริษัทเดียวกันอีตา ปส. และทำงานเห็นหน้ากับอิชั้นมาเป็นปี มันเกิดจิตตกมาหลงรักเรา ไอ้บ้าเอ๊ย มีลูก-เมียแล้ว ยังไม่สำนึก นี่เห็นว่าอิชั้น desperate มารึงัย ถึงจะได้ยอมลดตัวไปเป็นเมียน้อยแกน่ะ เราไปปรึกษาหญิงกับปุ๊กว่า จะหาวิธีกำจัดมันออกไปจากชีวิตยังงัย แต่ ๒ คนนี้หัวเราะใหญ่บอกว่า ให้ไหลๆ ไปเรื่อยๆ ให้เราหลอกมันไปเรื่อยๆ มันจะได้เป็นไส้ศึกให้เรา เฮ้ย... ทำไม ๒ ป้าถึงได้ใจตรงกันขนาดนี้ มิเสียแรงที่คบกันมานานจริงๆ วะ

เราเลยต้องคิดเอง สุดท้ายก็ได้มา ๑ มุข คือ เรามีแฟนแล้ว ตอนแรกเรากะไปพึ่งไอ้อู๊ด แต่ไอ้อู๊ดก็ดันเล่นตัวสุดฤทธิ์อ้างว่า กลัวบรรดาน้องๆ สาวๆ ของมันจะเข้าใจผิด โธ่... กลัวพี่จิงจะเข้าใจผิดก็บอกมาตรงๆ เต๊อะ กำลังคิดว่าจะไปมุขไหนดี ก็ให้เผอิญว่า ต๊ะโทรมาบอกว่า จะขอมาดูโครงการ เรารีบว่างทันที พาชม Showflat ไปทั่ว แล้วไปกินข้าวกัน ๕๕๕... พี่น้องค่ะ อิชั้นมีแฟนแล้วนะ รู้ไว้ซะด้วย... เอิ๊กๆ

ต๊ะดูผอมอยู่เหมือนเดิม แต่เจ้าตัวบ่นอยู่ได้ว่าอ้วน แต่ที่แน่ๆ เรา ๒ คน เป็นคนแก่คุยกัน เพราะผลัดกันบ่นเรื่องเด็กสมัยนี้มันทำงานไม่ค่อยได้เรื่อง จนเราต้องพูดว่า สงสัยเรา ๒ คน จะแก่แล้วจริงๆ ตอนเราพึ่งทำงานใหม่ๆ เรา ๒ คน ก็อาจจะไม่เอาถ่าน และนายเราก็นั่งบ่นกับเพื่อนอย่างนี้ก็ได้นะ แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดต๊ะได้ เพราะต๊ะยืนยันว่า ตอนเขาทำงานใหม่ๆ เขาตั้งใจมากกกกก (ไม่อยากจะเชื่อเลย ๕๕๕...) แต่เรื่องที่เรา ๒ คน พูดแล้วปลื้มเหมือนกัน คือ การไปเที่ยวแบบชิลๆ ต๊ะปลื้มเชียงใหม่มาก แถมช่วงนี้มีงานที่โน่นด้วย เลยหาเรื่องไปใหญ่เลย ชนิดแม่ทักว่า ไปแอบมีลูก-เมียไว้ที่โน่นรึป่าว เราเลยตั้งใจว่า ไปเที่ยวเชียงใหม่คราวนี้ เราจะขอเที่ยวแบบชิลๆ บ้าง เพราะจะว่าไป ก็ยังติดใจทริปมัลดีฟส์มาก เพราะมันได้พักจริงๆ... อยากไปเที่ยวเชียงใหม่เร็วๆ จังเลย...

ตกค่ำหมะโทรมาบอกว่าแจ้โดนขโมยขึ้นบ้านอีกแล้ว คราวนี้ได้โน๊ตบุ๊คกับหล้องถ่ายรูปไป งานนี้หมะเลยโวยวายว่าต้องย้ายบ้านแล้ว เพราะโจรมันจ้องอยู่ อีกน่อยมันอาจอุกอาจอุ้มเด็กไป เพราะบ้านนี้มีแต่ผู้หญิง เราว่าปีนี้แจ้ดวงไม่ดีเลยวะ เป็นปีชงของจริง ส่วนคุณสามีไม่เห็นเดือดร้อนอะไรมากไปกว่าการต้องซื้อกล้องถ่ายรูปใหม่ ฟังแล้วเซ็งชะมัด แต่ก็ไม่อยากไปถามให่ยิ่งรมณ์เสียขึ้นไปอีก เราเลบบอกว่า ให้เอากล้องเราไปใช้ก่อนละกัน (ไม่ได้แต่งงานก็มีข้อดีอยู่นิดนึงนะเนี่ย...)

Sunday, November 16, 2008

หลอกกันเล่นรึป่าวววว...

อยู่ 3 ทุ่ม มา ๑ ปีแล้วนะ ไหนพี่ณัฐบอกว่าจะหาคนมาช่วยงัย จะหลอกกันไปถึงไหนคะ ทำไมถึงได้สัมภาษณ์คนใหม่ไม่ผ่านซะที พี่วิลอยากได้เทพมาทำงานรึคะ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป อิชั้นคงไม่ต้องลาออกแล้ว เพราะจะโดนไล่ออกแทน เพราะงานทำไม่ทันเยอะมาก พอกหางซะจนลุกจะไม่ขึ้นแล้ว แถมใครเอาไฟมาลนก้น เราก็ไม่ค่อยเดือดร้อน เพราะดินที่พอกพูนอยู่ที่หางมันช่วยสกัดความร้อนไปเยอะมาก (วันก่อนช่างนะเจอคำถามเราเข้าไปถึงกับอึ้งกิมกี่ ก็แค่เราถามว่า จะให้ approve แบบก่อน หรือจะให้ออก site instruction ก่อน ให้เลือกมาเดี๋ยวนี้ เพราะทั้ง ๒ อย่างนี้ เราทำคนเดียว) แถมยิ่งเห็นสัมภาษณ์ Resident Architect แล้วยิ่งหนาว นึกในใจว่า นี่ถ้าเราต้องเข้าสัมภาษณ์กับพี่วิลก่อนทำงาน เราจะได้ตำแหน่งที่ทำอยู่ไม๊ฟระเนี่ย...

Thursday, October 30, 2008

ข้าน้อยสมควรตายหมื่นครั้ง

อาทิตย์นี้มีประชุมโปรเจค แต่พี่ณัฐหนีไปเที่ยวญี่ปุ่น ตอนแรกเราคิดว่าต้องลีดประชุมเองซะล่ะ แต่ปรากฎว่าคุณนพเปลี่ยนใจมาลีดแทน เราเลยรอดตัวไป ดีที่เมื่อวานเราเคลียร์ไปกับพี่รอสซี่เยอะแล้ว วันนี้เลยประชุมไปด้วยความรวดเร็วและราบรื่น

แต่ยังงัยก็ตาม เราก็อดจะใจคอไม่ดีไม่ได้ เพราะเราทำ Floor Drain หาย มูลค่าไม่มากท่าไหร่ แค่ ๘ แสนบาทเท่านั้น ฮือๆๆ ข้าน้อยสมควรตายอย่างยิ่ง เลยทำให้ตอนแรกเรากะไม่ไปเสียบตา ป.ส. ตามที่ตั้งใจไว้ แถมมันยังเคลียร์เรื่องย้าย Ramp กับพี่รอสสำเร็จอีก เลยคิดว่าจะให้อภัย แต่บังเอิญที่เมื่อวานมันดันตรวจงานพลาด แล้วยังมาดื้อดันทุรังอีก ป้าเลยปรี๊ด เพ็ดทูลกับคุณ ชช. ไปซะเลย แถมโชคดีที่คุณ ป.ภ. ยังฉุนตา ป.ส. อยู่ เลยมาช่วยราดน้ำมันอีกคน มันต้องอย่างนี้ซิคะ เราต้องช่วยกันผนึกกำลังกำจัดแมลงตัวร้ายค๊า...

Sunday, October 26, 2008

ไปช้อปปิ้ง

วันอาทิตย์ไม่มีอะไรทำ ไปเดินงานคอนโดเล่น ปรากฎว่าดันไปติดใจคอนโดฯ ของอารียา เซลล์ก็พูดเก๊งเก่ง ขนาดหวาดเสียววิกฤตเศรษฐกิจ อิชั้นก็ยังเคลิ้มเคลิม ซื้อห้องสตูดิโอมา ๑ ห้อง เฮ้อ... ถ้าจะยังไม่หายจากอาการอกหัก นี่กรูทำอะไรบุ่มบ่ามไปรึป่าวเนี่ย...

เย็นๆ สาวๆ นัดกันไปเยี่ยมหลานแฝด (ลูกปุย) เก๋เลยโชว์ฝีมือทำหอยทอดสูตรดั่งเดิม แต่กว่าจะได้ทอด เวลาก็ผ่านไปนานโข ทำเอาซาลาเปาที่เราซื้อมาขายดิบ-ขายดี ชนิดที่ต้องบอกให้หยุดกิน เพราะเดี๋ยวจะอิ่มก่อนกินหอยทอด ไอ้เก๋น้อยใจตาย (ยิ่งใจน้อยๆ อยู่ด้วย) เสร็จแล้วก็ชมบ้านกันตามระเบียบ บ้านปุยสวยดี โดยเฉพาะตรงบริเวณห้องรับแขก แต่งานนี้ป้าปุ๊กบ้านหมุน เลยต้องปล่อยให้ป้าพักแป๊ปนึง กว่าจะได้ออกจากบ้านปุย ก็เล่นเอามืดค่ำ ทำไมวันอาทิตย์มันหมดเร็วอย่างนี้วะ!

Sunday, October 19, 2008





เราต้องเช็คเอ้าท์กันตั้งแต่เที่ยง แล้วไปเตร่เตรเร่ร่อนตามชายหาด พอเย็นๆ เขาก็มาเปิดห้องให้พวกเราได้ไปอาบน้ำกัน เพราะอากาศที่นั่นเหนียวตัวมากๆ อิชั้นขอแนะนำว่า ให้พกแป้งตรางูไปด้วย เวิร์คมาก ขอบอก...

ทุ่มนึงก็ออกจากที่พักไปสนามบิน เลยมีเวลาช้อปปิ้งกัน ได้เสื้อยืดมากันคนละตัว ๒ ตัว เราบอกปุ๊กว่า ห้ามใส่ไปเจอป้าๆ จนกว่าเราจะได้สารภาพบาปกับหมูซะก่อน งานนี้เราไม่ได้ส่งโปสการ์ดให้ใคร เพราะลักลอบเข้าเมืองมาก แต่ก็ได้ Magnet มาให้หญิง ๑ อัน เครื่องมาถึงกรุงเทพฯ ๖ โมงเช้า อิชั้นก็ไปไถนาต่อเลย โฮๆๆ...

Saturday, October 18, 2008

ดำน้ำในมัลดีฟส์

ไหนๆ ก็มาถึงมัลดีฟส์ เราเลยจองทัวร์ไปดำน้ำ ๑ ไดฟ์ และเพื่อความประหยัดเลยหอบอุปกรณ์มาทั้งหมด แต่ก็ยังมิวายโดนบังคับให้เช่าไส้กรอก ไอ้บ้าเอ๊ย... เสร็จแล้วพับเก็บเองนะคะคุณพี่ เกิดมาไม่เคยใช้เองเล๊ย... แต่ปุ๊กไม่ไปด้วย เพราะบอกว่า เห็นทุกอย่างที่หน้าบ้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็น กะเบนนก, ปลาหมึกยักษ์, ฉลามครีบดำ, ปลาสิงโต, ไปป์ฟิช, ฯลฯ

เราได้ไปดำน้ำใกล้ๆ กับที่พัก สภาพใต้น้ำคล้ายๆ หน้าบ้านเลยวะ เพีบงแต่จำนวนมากกว่า อ้อ เจอเต่าตัวเล็กๆ ๑ ตัวด้วย (ไม่รู้จะตื่นเต้นไปทำไม) แต่ที่เราตกใจมาก คือ ปลาวัวอำมหิตยาวเกือบ 2 ฟุตแน่ะ เห็นแล้วหัวใจเกือยวาย... น่ากลัวโคตร อ้อ ขอยืนยันว่าน้ำทะเลมัลดีฟส์ไม่เหนียวนะคะ

Friday, October 17, 2008

นอนเล่น-ผึ่งพุง...















กิจกรรมในวันนี้ คือ ตื่นนอน-กินข้าวเช้า-เล่นน้ำหน้าบ้าน-อาบน้ำ-กินข้าวเที่ยง (ที่ลักลอบเอาเข้ามา)-นอน-ปล่อยอารมณ์ที่ระเบียงบ้าน-เดินเล่น-กินข้าวเย็น-ดูทีวี-นอน มีความสุขมากฮ่ะ... ; D

ป.ล. ไอ้หง ... มารายงานข่าวคราวในเวบบอร์ดตลอด ทำเอาเราชักคิดถึงเมืองไทยขึ้นมาแล้วซิ..

Thursday, October 16, 2008

เดินทาง

ประชุมเสร็จเที่ยงหน่อยๆ เรารีบเคลียร์งาน แล้วไปสนามบิน คราวนี้ไปเร็วมากจนปุ๊กแซว เลยมีเวลาได้ช้อปปิ้ง แล้วเลยไปนั่งเลาจ์ของบางกอกแอร์เวย์กัน ของกินดีมากเลย มีคอมฯ ให้เล่นด้วย ปุ๊กเลยไปโพสต์ทำเนียน ผิดกับเราที่ไม่ได้เข้านิจบอร์ดเลย เพราะงานยุ่งมากกกกกกก.... แต่ปรากฎว่าไฟล์ทดีเลย์ไปเล็กน้อย ทำเอา ๔ ผู้โดยสารเสียอารมณ์ โดยเฉพาะเรากับปุ๊ก เพราะงานนี้ทุ่มทุนสร้างค่าโรงแรมไปแพงโข ดันจะไปถึงช้าอีกแน่ะ แต่งานนี้เราเลยเข้าใจเลยว่า เขาสร้างโรงแรมแพงๆ ไว้ทำไมกัน ที่แท้ก็เอาไว้ให้คนบ้าอย่างเราไปพักนี่เอง เราว่าอีกไม่นาน การนอนพูลวิลลาคงจะเป็นจริงแล้วล่ะ

ระหว่างทางมีเรื่องให้อิจฉา คือ มีฝรั่งรูปหล่อมากับเมียไทยซึ่งไม่สวยโคตร (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหน้าตาสามี) ตอนแรกเรากับปุ๊กแซวกันว่า โห... อิจฉาแม่ที่ได้นั่งติดฝรั่งรูปหล่อ เพราะเครื่องลงถึงได้เห็นว่า เขามีลูกแล้ว ๓ คน กรูล่ะเบื่อ ดีนะเนี่ยที่ไม่ได้นั่งด้วยกัน เดี๋ยวเผลอไปอ่อยเขาละก้อ ขายหน้าแย่...

นั่งเรือแป๊ปนึงก็ถึงรีสอร์ท (เก๋มากค่ะ ที่แอร์พอร์ทลิงค์เป็นเรือ ที่แรกที่เราเจอ คือ เวนิส ชอบๆ) มีคนไทยมากับเราด้วย ๑ คู่ ดูท่าทางไฮโซเล็กน้อย แต่อิชั้นไม่สนใจ รีบถลาไปล้อบบี้เพื่อจะถ่ายรูป ในที่สุด เกือบ ๔ ทุ่ม เราก็ไปถึงห้องพักกัน กว้างขวางใหญ่โตมากฮ่ะ แต่ไม่มีเตียงเดี่ยวแยกนะคะ เพราะมันสำหรับคู่ฮันนีมูน (ใครเจอคู่นอนนอนดิ้นล่ะแย่แน่) ห้องน้ำก็ใหญ่โตติดทะเล ดูโรแมนติดซะ... ว้าว... คืนนี้เข้านอนอย่างเป็นสุข..

Saturday, October 11, 2008

เนื้อคู่ นจว. มาเกิดแล้ว

เท Mat Foundation คราวนี้เสร็จเร็วกว่าที่วางแผนไว้ ๒ ชม. ซึ่งเราก็ไม่แปลกใจ เพราะคราวนี้ PM ของฤทธาดูดีมาก ไม่หัวฟูอย่างคราวที่แล้ว ไม่อยากจะประชดเลยว่า ถ้าตา ปส. อยู่เฉยๆ งานจะราบรื่นกว่านี้ นี่เป็นเหตการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนยิ่ง

เราเลยได้ไปกินข้าวกับหงที่ไทปิง หงเลยอัพเดทเรื่องราวในช่างคุยให้ฟังว่า มีฝรั่งคนนึงหลงมาปะทะคารมกับ นจว. เราฟังแล้ว
ขำกิ๊ก นึกในใจว่า โอ้ว... ในที่สุด นจว. ก็เจอเนื้อคู่แร้ววววว.... ๕๕๕...

Friday, October 3, 2008

ปฏิบัติการลับพระจันทร์เต็มดวง

กำลังหงอยๆ ที่เกี๊ยกจะแต่งงาน ก็พอดีมีจดหมายจากบางกอกแอร์เวย์มาว่า มีโปรโมชั่นตั๋วราคาถูกไปมัลดีฟส์ เราลองชวนปุ๊กดู ปุ๊กก็สนใจ เลยได้ที่ไปเลียแผลใจ แต่ก็ติดอยู่ที่เรื่องหมูว่าจะบอกหมูยังงัยดีว่า เราจะไม่ไปญี่ปุ่นด้วยเป็นที่แน่นอนแล้วนะ เพราะหมูก็มีนิจไปเป็นเพื่อนแล้ว และเราอยากเที่ยวแบบพักๆ ปล่อยอารมณ์บ้าง เพราะหมู่นี้มีแต่เที่ยวตะลุย มันเหนื่อยอ่ะ (สงสัยจะแก่แล้ว)

ช่วงนี้เลยไม่ได้ทำการทำงาน เอาแต่เสริชที่พัก เพราะที่พักที่โน่นแพงมาก และเราคิดว่า ไหนๆ ก็ไปไปทั้งที น่าจะทุ่มทุนนอนวอเตอร์ บังกาโล ไปเลยดีกว่า ไอ้ประเภท บีช เฮ้าส์ เอาไว้นอนที่โรงแรม ๕ ดาว ที่เมืองไทยก็ได้ว่ะ และในที่สุดก็มาลงตัวที่ Full Moon Resort เราถึงจะได้เก็ทว่าทำไมปุ๊กถึงได้เปลี่ยนข้อความของ msn เป็น “รอวันพระจันทร์เต็มดวง” ๕๕๕...

ป.ล. นั่งนับวันถอยหลังไปเลียแผลใจอยู่น๊า...

Saturday, September 27, 2008

ได้ฤกษ์ทำโปรเจคหมื่นล้าน

กลับไปต่อรองราคากับผู้รับเหมา กว่าจะได้ตามงบ ทำเอาแทบแย่ เราต้องหั่นสเปคแทบแย่ (กรูบอกตั้งแต่ตอนทำแบบแล้วว่า อย่าใส่มาเยอะ เดี๋ยวจะเสียอารมณ์กันได้ ก็ไม่เชื่อ เฮ้อ...) สาธุ... ขอให้ขายดิบขายดีมีกำไร อิชั้นจะได้ลาออกไปทำจัดสรรจริงๆ จังๆ ซะที ไม่ต้องมาปวดหัว(ใจ)อยู่อย่างทุกวันนี้ แต่ที่แน่ๆ ต่อไปก็เตรียมตัวเหนื่อยได้ เพราะต้องลงมาหากใหญ่ทุกเดือน เฮ้อ... แค่คิดก็เหนื่อยล่ะ...

Saturday, September 20, 2008

ชีวิตกรรมกร

เนื่องจากเป็นการเทคอนกรีตฐากรากครั้งแรกของโครงการฯ เลยต้องมีการเตรียมการกันยิ่งใหญ่ ตา ป.ส. ให้ฤทธา Present วิธีการเทซะหลายรอบ และก่อนจะเทจริง ก็มีการตรวจเข้มซะจนกว่าจะได้เริ่มเทก็สายจากกำหนดการเดิมไปถึง ๒ ชม. ชนิดฤทธาประชดว่า ทำเหมือนเขาไม่เคยเท Mat Foundation มาก่อนงั้นแหละ เรานึกในใจงานนี้ยาวแน่ และก็เป็นไปตามคาด ๒ ทุ่มก็ยังไม่เสร็จ พอดีหงษ์โทรมาตามเราให้ไปจัดรายการเสาร์หน้า เลยตกใจใหญ่ เพราะเราบอกว่า คงเที่ยงคืนมั๊งถึงจะได้กลับบ้าน แต่โชคชะตาเราก็ไม่เลวร้ายมากนัก เพราะฝั่งโรงแรมเรารอดตัวไป เพราะไม่มีแขกมาพักเลย หงอยมาก ชนิดคุณ ชช. ประชดว่า ต้องไปขอบคุณลุงหมัก เพราะทำให้ฝรั่งไม่กล้ามาเที่ยวเมืองไทย คอยลุ้นใจหายใจคว่ำเฉพาะชาวบ้านตัวจริงที่อยู่ติดกับโครงการ กลัวเขาจะโทรเรียกตำรวจ เพราะยังงัยโครงการก็ต้องเทคอนกรีตต่อให้เสร็จให้ได้ แต่ถ้ามีโทรจริง งานนี้ต้องมีใครซักคนไปเป็นแพะให้คุณตำรวจแน่ แหม... ชีวิตกรรมกรมันเหนื่อยยากดีแท้หน๊อ...

Sunday, September 7, 2008

อกหัก

หลังจากที่ไม่ได้คุยกันนานมากๆ พอเราได้เมลล์ฉบับนั้นจากเกี๊ยก เราเลยโทรไปหา ไม่น่าเชื่อว่าประโยคแรกที่เกี๊ยกถามเรา คือ เรื่องสุขภาพของหมะ นิน่าล่ะ คุณนายนิลุบลถึงได้ปลื้มเฮียนักหนา แล้วเลยคุยกันไปเรื่องอื่นๆ อีกแป๊ปนึง จนเราทนไม่ไหวล่ะ ต้องถามเกี๊ยกตรงๆ ว่า เขาจะแต่งงานเหรอ เฮียถึงได้ตอบว่า ใช่ ตามด้วยการถอนหายใจเฮือกๆ บ้าที่สุด แล้วเมล์มาแบบนั้นทำไมวะ มีแฟนแล้วก็ไม่บอก ตอนเราถามแรกๆ มาทำเป็นพูดออกแนวว่า ถ้าคนที่เรารักตายไปจะรู้สึกยังงัย-ยังโน้นอย่างนี้ บ้าที่สุด โกรธนะเนี่ย...

แต่ที่เรางงสุด คือ เขาไม่เชิญเราไปงานแต่งงาน ขนาดเราพูดโต้งๆ ว่า เราสะดวกงานที่ กทม. มากกว่าที่ปัตตานี สงสัยจะมีลางสังหรณ์จับได้ว่า เราจะใส่ชุดคลุมท้องสีดำไปร่วมงานแต่งงาน ๕๕๕...

Saturday, August 30, 2008

ดอนขึ้นบ้านใหม่

เมื่อวานไปคาราโอเกะเลี้ยงส่งโรส เพราะคุณน้องลาออกไปทำเกษตรพอเพียงที่บ้านที่อีสาน แต่มีคนบอกเราว่า จริงๆ แล้วที่น้องเขาลาออก เพราะเป็นห่วงพ่อ-แม่ที่แก่แล้ว แต่อยู่กัน ๒ คน ไม่มีลูกหลานคอยดูแลตะหาก อืม... มีแต่ลูกสาวแหละที่คิดได้แบบนี้ เราเลยไม่เข้าใจว่า เขาจะอยากได้ลูกชายมากกว่าลูกสาวไปทำไมกัน Anyway ก็ขอให้น้องโรสมีอนาคตที่ดีสมกับที่เป็นลูกกตัญญู และเพราะงานนี้ไม่มี ๓ ลุง มาครองไมค์ เด็กๆ เลยสนุกกันเต็มที่จนร้านปิด เราแวะส่งเด็กอีก ๒ คน ถึงบ้านเอาตี ๒ สลบเมือดทันที

เช้ามาเลยตื่นสาย กว่าจะไปถึงจุดนัด นิจก็มานั่งรถอยู่แล้ว แต่โชคดีที่ผู้ว่าฯ มาสาย เราเลยรอดตัวไปหวุดหวิด พอไปถึงบ้านหมู เขาก็จัดสถานที่กันเสร็จแล้ว กำลังนั่งรอพระกันอยู่ หมูบอกว่า วันนี้พระจะมาสายนิดนึง เพราะมีงานบุญหลายที่ เฮ้อ... รอดตัวๆ

พอถึงตอนพระประธานเริ่มสวดมนต์ ทุกคนนั่งกันเงียบ จนพระรูปที่นัดอยู่ถัดไปต้องบอกโยมๆ ว่า สวดตามด้วยครับ ตอนแรกทุกคนสวดกันเสียงเบามาก ซึ่งก็ไม่แน่แปลก เพราะดูแล้วคนที่บ้านหมูก็ไม่น่าจะถนัดการสวดกัน นิจเลยสวดซะเสียงดัง เราเลยจากปกติที่นั่งทำปากขมุบขมิบ เลยต้องสวดเสียงดังด้วย ต้องสวดให้กระหึ่มๆ พระท่านจะได้ไม่เสียใจ พอสวดเสร็จ พระก็ไปพรมน้ำมัน และเนื่องจากผู้ชายมีน้อย (คุณอุ่นกับ หห. ก็ยังมาไม่ถึง) แฟนผึ้ง (ผึ้ง-เด่น) เลยต้องมาช่วยถือขันน้ำมนต์ด้วย (มาได้ประโยชน์มากค่ะ)

พอพระกลับ ก็เริ่มชมบ้านหมูกัน หมูบอกว่า ยังไม่ได้แก้เรื่องไฟรั่วเลย เพราะเด่นแนะนำให้ไม่ได้ เราเลยพูดว่า เดี๋ยวว่างๆ จะต้องโทรไปด่าเสียหน่อย ให้เอาใบ กว. “สามัญ” ไปคืนทาง กว. เขา แหม... เสียชื่อมากค่ะ แต่ที่ขำ คือ หมูไปขโมยอิฐบล๊อคโครงการมาเรียงที่สนามข้างบ้าน เฮ้ย... คิดได้งัยฟระ แถมทำเป็นล่ำเป็นสันซะด้วย ปูได้หลาย ตรม. อยู่เหมือนกัน ฝีมือปูใช้ได้ที่เดียวเชียว วันไหนช่างของฤทธาขาด สงสัยจะต้องโทรเรียกดอนมารับจ๊อบซะแล้ว ๕๕๕...

แล้วเราต้องกลับมาทำงานต่อ เพราะเป็นเวรทำงาน แต่ง่วงโคตรๆ เลยเล่นเนทแทน เฮ้อ... สร้างสรรค์มากฮ่ะ จน ๖ โมงเย็น ก็ออกมาช้อปปิ้งต่อกับปุ๊กกับหญิง กว่าจะถึงบ้าน เล่นเอาเหนื่อยโคตรๆ พรุ่งนี้คงตื่นหลังเที่ยงเลยมั๊งเนี่ย...

Saturday, August 23, 2008

ช่างคุยครบ ๒ ปี

หงษ์จัดงาน “ช่างคุย” ครบ ๒ ปี ส่วนนึงคงอยากจะขอบใจทุกคนที่มาช่วยกันทำโดยไม่ได้สตางค์งานนี้ก็ทุกรายการล้วนแต่มีตัวแทนรายการมากันครบถ้วน พี่หมอมากันทั้ง ๒ คน เราเลยได้เจอพี่หมอหนึ่งเป็นครั้งแรก ตัวจริงสูงเชียว ผิดกับในรูปตั้งเยอะ และที่ขำ คือ เราชวนแกคุยเรื่อง House แกกลับตอบว่า ผมชอบดูละครไทยมากกว่า เพราะชีวิตทำงานเครียดมากพอแล้ว ว่าแล้วก็ไล่ละครตอนเย็นจนถึงละครหลังข่าวทั้งช่อง ๓, ๕ และ ๗ โชว์ซะเลย โอ้ว... แฟนพันธ์แท้ละครไทยจริงๆ ด้วย ๕๕๕... อย่างนี้ต้องไปเล่าให้ป้าๆ ฟังซะแล้ว จะได้ไม่เครียด

หงษ์ก็ไล่ขอบคุณทุกคนจะครบ แล้วก็เล่าเรื่องตลาด Podcast ให้ฟังคร่าวๆ เราถึงรู้ว่า นี่เราอยู่ในตลาดเดียวกับลูกชายของท่านมุ้ยเชียวหรือนี่ Almost famous จริงๆ หุหุหุ...

ป.ล. งานนี้อู๊ดไม่มา เราเลยรอดตัวจากการเผชิญหน้ากับมัน เพราะยังกลัวที่ปุ๊กไปแขวะว่ามันเรื่อง “สมถะ” แล้วมันจะมาพาลเอากับเรา แล้วเราเผลอด่าคืน จะทำเอาเสียบรรยากาศกับหมดได้

Tuesday, August 12, 2008

ลาออกดีไม๊

กลับมาอยู่บ้านเลี้ยงหลานซะหลายวัน ก็เริ่มติดใจมัน จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะทำให้จบโครงการ ซึ่งจะพอดีกับที่จะผ่อนคอนโดหมดด้วย แต่ต้องทำงานเหนื่อยแทบตายห้า แล้วไม่มีมูลค่าเพิ่มอีกตะหาย เพราะสุดท้ายก็ออกมาทำเอง หรือจะทำแค่ส่งห้องตัวอย่างเสร็จดีฟระ ระเบิดที่เหยียบๆ ไว้ก็ยังไม่ทันระเบิดซะด้วย แล้วเราก็ออกมาทำงานนิดหน่อยๆ + เลี้ยงไอ้เหวินเฉียงสบายใจกว่ากันเยอะเลย...

Sunday, August 10, 2008

ขับรถกลับบ้าน

เริ่มขับตั้งแต่บ่ายวันศุกร์ ดันงกไม่ขึ้นทางด่วน จะขอใช้เส้นที่ไปรับรถ แต่ดันหลงทาง วกเข้ามาใน กทม. ซะได้ ถนนบ้าอะไรก็ไม่รู้ รถติดสุดๆ เทียนบอกว่า ไม่เป็นไร ให้มุ่งหน้านครปฐมเข้าไว้ เพราะเวลานั่งรถไฟกลับบ้านตอนเรียนหนังสือ จำได้ว่าต้องเห็นพระปฐมเจดีย์ เลยกว่าจะหลุดมาได้ก็เกือบ ๓ โมง เรานึกในใจสงสัยถึงชุมพรหลังพระอาทิตย์ตกแน่ แล้วก็เป็นไปดังคาด เราไปถึงชุมพรคาบานา เกือบ 2 ทุ่ม ทางเข้ารีสอร์ทเปลี่ยนไปมากเลย มีรีสอร์ทเล็กๆ หลายอัน และเริ่มมีคล้ายๆ บาร์เบียร์อยู่ริมหาดด้วย มีฝรั่งมานั่งประปราย นี่พวกนี้ข้ามจากภาคใต้ฝั่งตะวันตก มาฝั่งตะวันออกแล้วหรือเนี่ย

เทียนตื่นแต่เช้าไปชมรีสอร์ท ดูการทำเศรษฐกิจพอเพียง คิดไปคิดมา ก็ชักอยากทำรีสอร์ทอีกแล้ว ไม่เอาดีกว่า อย่าฟุ้งซ่าน เลยรีบออกรถต่อ เทียนบอกให้ขับเส้นใน เพราะจะได้เลี่ยงพวกรถบรรทุก เราก็ขับไปกังวลไป เลยขับแค่ ๘๐ กม.ต่อชม. กว่าจะถึงหาดใหญ่ ก็ปาเข้าไป ๕ โมงเย็น เลยต้องนอนหาดใหญ่อีกคืน เช้าวันอาทิตย์ถึงได้ถึงยะลา ตอนเปลี่ยนไปขัยรถเบนซ์กลับยะลา เราสังเกตเห็นว่ามีสติเกอร์โรงเรียนวชิราวุธติดอยู่ที่รถ เลยนึกในใจ เออ ดีที่เราเอา CRV มาใช้ ป๊ากับเทียนจะได้เอาเบนซ์มาใช้บ่อยๆ หน่อย คนบางคนจะได้สำนึกได้ว่า เขาไม่ใช่เจ้าของรถ น่าเกลียดจัง ขนาดเรา ๓ พี่น้องยังไม่เอาสติกเกอร์โรงเรียนตัวเองไปติดเลย เดี๋ยวรอให้เราลงมาอยู่ใต้เป็นการถาวรซะก่อน แม่จะลอกไอ้สติกเกอร์นี้ออกด้วยตัวเองเลยเชียว เฮ้อ...

พอถึงยะลาก็ตกใจ มีเด็กเต็มบ้านเลย เพราะแม่กับน้องสาวส่วนมาเยี่ยม ๒ สาว คลอดแล้ว ส่วนส่วนพึ่งจะท้อง เรานึกในใจนี่แค่เด็ก ๕ คน ไม่รวมในท้องอีก ๑ คน กับลูกพี่สาวอีก ๒ คน บ้านก็รกโคตรแล้ว เหยียบไปตรงไหนก็ติดเศษข้าวที่ลงอยู่ตามพื้น โอ๊ย... แต่หมะรีบแก้ตัวว่า เพราะตอนนี้ป้าที่ทำงานบ้านให้เรา เขาลาไปพยาบาลสามี บ้านเลยรกไปนิด งานนี้เราเลยต้องสวมวิญญาณแจ๋วทั้งถูบ้านทั้งล้างห้องน้ำ เหนื่อยแทบขาดใจตาย เฮ้อ...

Friday, August 8, 2008

วันเลขสวย

ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันเลขสวย เลยอยากเขียนไว้เป็นที่ระลึก เพราะต้องรออีก ๑๐๐ ปีเชียวนา ถึงจะมีโอกาสได้ลงวันที่เป็น “08-08-08” เพราะฉะนั้น วันนี้ต้องเซ็นเอกสารเยอะๆ ไว้เป็นที่ระลึกซะแล้ว อิอิ...

Thursday, August 7, 2008

Almost Famous

หงษ์โทรมาบอกว่าได้สัมภาษณ์ลงประชาชาติธุรกิจเรื่องเกี่ยวกับ Podcast เขาขอมาเองซะด้วย ไม่ได้จ้างให้มาสัมภาษณ์ เราเลยแซวว่า “โห... เพื่อนเราใกล้ดังแล้วซิ” ๕๕๕...

Saturday, August 2, 2008

AF - The Final

ได้ไปดู Concert AF รอบสุดท้ายฟรี (สปอนเซอร์โดนน้องน้ำผึ้ง ต้องขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้นะค๊า...) โดยมีข้อแม้ว่าต้องสวมบทพี่เลี้ยงน้องไทด้วย แต่ก็มิเป็นปัญหาสำหรับอิชั้นแต่อย่างใด (แต่ตอนที่รับปากหงษ์ ในใจคิดว่า ตรูจะรอดไม๊เนี่ย) เพราะน้องไทน่ารักมาก ไม่งอแงเลย พอดูเสร็จ เราบอกหงษ์ว่า ถ้าบริษัทเราจัดงานครอบครัว เราขอพาน้องไทไปด้วยนะ หงษ์หัวเราะใหญ่เลย งานนี้เราชวนหญิงกับคุณดีไปด้วย ส่วนน้องไท (หลานผู้มีพระคุณ) มีนิดหน่อยกับไอซ์ (ลูกพี่-ลูกน้อง) ไปเป็นเพื่อน น้องไทชอบ “ปั๊ม” (วีอะไร ป้าจำไม่ได้ซะล่ะ -_-“) มาก พอเห็นรูปถ่ายหน้างาน รีบปรี่เข้าไปถ่ายรูปทันที แล้วก็รีบเข้าไปในฮอล์กัน เพราะคอนเสิร์ทใกล้เริ่มแล้ว แหม... เลี้ยงง่ายจริงวุ๊

ก็เป็นไปตามที่คิดว่า ที่ ๑ ไม่มีทางเป็นผู้หญิงไปได้ น้องกู๊ดเลยตกไป ส่วนกี๋ก็แก่เกินกว่าทรูจะเอามาปั้นแล้ว เราคิดว่าถ้าไม่ใช่น้องนัททิว ก็คงจะเป็นน้องรอน เพราะถึงน้องปั๊มจะแฟนคลับเยอะ แต่ร้องเพลงเพี้ยนตลอดเวลา ถ้าได้ที่ ๑ จริง สงสัย “เดอะสตาร์” คงจะมาประท้วงกันสุดฤทธิ์ สุดท้ายก็ได้น้องนัททิว ได้รางวัลเป็นคอนโดฯ มูลค่าตั้ง 5 ล้านบาท แต่เราว่าที่ ๒ กับที่ ๓ รางวัลก็ดีมาก เป็นรถ Mazda 3 + เติมน้ำมันฟรี ๑ ปี อีกตะหาก ตอนคุยเรื่องรางวัลกันในรถ น้องไทก็พูดว่าเป็นนักร้องดีกว่าเป็นหมอ เพราะเงินดีมากเลย นั่นดิ กว่าจะได้เป็นหมอ ก็เรียนกับเกือบตาย กว่าจะใช้ทุนหมด เก็บเงินได้ ๕ ล้าน ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี มาแข่งเป็นนักร้อง วันๆ ได้เรียนร้องเพลงกับเรียนเต้น แค่ไม่กี่เดือน ก็ได้เงินเป็นล้าน แล้วแบบนี้เด็กที่ไหนจะไปตั้งใจเรียนหนังสือกัน คิดแล้วกลุ้ม แล้วอย่างนี้ประเทศเรามันจะโตไปทางไหนฟระ แค่เด็กพึ่งจบมาทำงาน เราก็กลุ้มกับทัศนคติ + โรคขี้เกียจของมันแล้ว แล้วนี่เป็น Generation ถัดไปอีก ประเทศชาติจะเป้นงัยฟระ คุณดีเลยต้องรีบตะล่อมให้น้องไทเห็นว่าเป็นหมอดีกว่าในระยะยาวอย่างงัย เลยทำให้น้องไทเกิดอาการลังเล บอกว่าจะไปปรึกษษคุณแม่ก่อนตัดสินใจ ฟังแล้วค่อยโล่งใจหน่อย เพราะตอนขามาน้องไทบอกว่า คนที่รวยมาก คือ คนที่รวยความดี (ทำเอาอาๆ อึ้งกันไปทั้งรถ) เลยคิดว่าไอ้นก (แม่น้องไท) ต้องสนับสนุนลูกให้เป็นหมอมากกว่าเป็นนักร้องแน่ ๕๕๕...

Thursday, July 31, 2008

ปัญหาของรถ(ไม่ค่อย)ใหม่

นกเมลล์มาบอกว่า พลัสฯ จัดดูหนังฟรีอีกแล้ว เรารีบตอบตกลงทันที คราวนี้นกไปด้วย เราเลยไม่ต้องจัดการอะไร พอ 6 โมงก็รีบขับ CRV ไป Central World ทันที หุหุหุ... แต่พอไปถึงเห็นป้ายกั้นเขียนว่า สำหรับรถสูงไม่เกิน 1.90 ม. เราชักใจเสีย กลัวไม่พ้นป้าย เพราะป๊าเราต่อเติมซะสูง ทำแร็ค 2 ชั้น อีกตะหาก (ปกติขับแลนเซอร์เตี้ยกว่าตัวเราซะอีก ไม่ค่อยสนใจป้ายเตือนอะไรทั้งสิ้น) เลยจ่อค้างตรงทางเข้า จนยามต้องมาโบกว่าเข้าได้ ถึงกล้าขับเข้าไป คราวนี้เลยขับแบบตาจ้องป้ายตลอด กว่าจะได้ที่จอดรถ เล่นเอาเหงื่อตก

พอไปถึง นกก็รออยู่แล้ว พอนกเอาบัตรจอดรถของเรากับนกไปแสตมป์ แล้วพอยามคืนบัตรมาให้ เราก็จำไม่ได้อีกว่า ทะเบียนรถเลขอะไร พอจะพึ่งนก นกก็บอกว่าจำทะเบียนรถตวเองไม่ได้เหมือนกัน เพราะพึ่งเปลี่ยนรถเหมือนกัน เราคุ้นๆ ว่ามีเลข 2 อยู่ 2 ตัว เลยเลือกอันนั้นมา บอกนกว่า ถ้าใครออกไม่ได้ ก็ค่อยโทรหากันก็แล้วกัน

หนังที่ไปดู คือ Mummy III มีพระเอก, พี่ชายนางเอก กับผู้ร้ายเป็นนักแสดงชุดเดิม แต่เปลี่ยนนางเอก เราว่า ทำให้หนังขาดเสน่ห์ไปเยอะ ถึงลูกพระเอกจะหน้าตาดี แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก เพราะมันก็มุขเดิมๆ ส่วน Special Effect เราว่า สมัยนี้ใครๆ ก็ทำได้แบบนี้ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ดีนะเนี่ยที่ไม่ต้องเสียตังค์ดู 555...

เราจอดรถที่ B2 ขาลง เราลงจากฝั่ง Zen แล้วมาได้ที่จอดรถฝั่ง Iseton พอขาขึ้น เราเจอ Ramp ฝั่ง Iseton เลยขับไป พอใกล้ๆ ก็เห็นป้ายเตือนว่า ห้ามรถสูงเกิน 1.70 ม. เรานึกในใจ ซวยล่ะ ตะกี้ 1.90 ม. ยังเฉียดๆ เลยจอดรถตรงทางขึ้น Ramp แล้วปีนออกไปดู โอ้... พระเจ้า.... ระดับของแร็ค 2 เท่ากับระดับคานกั้นรถพอดี หันไปมองข้างหลัง มีรถติด 5 คัน รอยายป้าตัดสินใจ ทำงัยดีวะ จะถอยก็ไม่ได้ เพราะคันข้างหลังก็จ่อซะติด แต่อิชั้นขึ้นก็ไม่ได้นี่หว่า พอดีมีพี่ยามวิ่งมา เลยเป่านกหวีดให้ช่วยกันถอยไปทั้ง 5 คัน อิชั้นถึงออกมาได้ แล้วเลยต้องขับไปทางฝั่ง Zen เพื่อขึ้น Ramp เฮ้อ... ขับรถสูงๆ นี่ก็เหนื่อยเหมือนกันแฮะ...

Friday, July 25, 2008

รถ(ไม่ค่อย)ใหม่มาแล้ว เย้ๆ

เอ๋ชวนชาวคณะไปกินส้มตำหน้าปากซอย ตอนเดินไป พวกเราเจอดาราฝรั่ง “ส้มตำ” ด้วย (คนที่ตัวโตๆ น่ะ) เลยซุบซิบกันใหญ่ว่าจะใช่ไม๊ เราก็ว่าใช่นะ หน้าเหมือนมาก แต่เอ๋ฟันธงว่าใช่แน่นอน แถมรู้ด้วยว่า เขาอยู่คอนโดฯ ไหนในซอย ฮ้า... ที่แท้ลูกน้องเรามันเป็นซ้อแปดรึเนี่ย...

กำลังกินส้มตำอยู่เพลินๆ ตาคนขับรถก็โทรมาบอกว่า ให้ออกมารับรถได้แล้ว (งานนี้เราล่ะงงป๊าจริงๆ ยื้อกันอยู่เป็นปี ไม่ยอมให้ แต่พอบทจะให้ ก็โทรมาบอก 1 วัน ล่วงหน้า) เราเลยต้องละวงส้มตำ ตาเหลือกไปเอารถ ตื่นเต้นๆ แต่ปรากฎว่าต้องไปรอที่จุดนัดพบอีกตั้งเกือบ ชม. กว่ารถจะมาถึงจริง แล้วก็รีบกลับมาทำงานต่อ เพราะตอนเย็นต้องรีบออกไปคาราโอเกะต่อ งาน-เงินไม่ต้องทำกันวันนี้

พอทะเลาะกับตา ปส. เราก็เลี่ยงๆ ที่จะต้องร้องเพลงคู่กับมัน และคิดว่ามันก็คงคิดเหมือนกัน เพราะใกล้ถึงคิวเพลงคู่ปุ๊ป มันจะต้องรีบไปสูบบุหรี่ ดีๆ สูบไป 3 ชม. เลยเพ่ พอซักพักมันกับพวกก็กลับ ท่ามกลางความโล่งใจของเรา พอเราพร้อมจะคว้าไมค์ ก็ปรากฎว่า คณะสามโทน (นำทีมโดยคุณสุพจน์, ชช. และพี่ณัฐ) เครื่องติด ร้องไม่เลิก ตะลุยตั้งแต่ 5 ทุ่มถึงตี 2 ชนิดเสียงไม่มีตก แถมบางเพลงไม่ต้องดูเนื้ออีกตะหาก เออ... เอากับลุงๆ แกดิ หัวหน้าคณะ Request เพลงตลอดเวลา เรากับลูกน้องเขากดรีโมทกันมือไม้เป็นระวิง แต่แต่ละเพลงก็เก่ามาก บางเพลงตาประเสริฐต้องหันมาถามเราว่า “เพลงอะไรเหรอครับพี่” แบบว่าเกิดไม่ทันจริงๆ อย่าง “พิภพมัจจุราช” นี้ เรางี้อย่างฮา ที่เด็ดสุด คือ แกขอเพลงศึกสายเลือด โห... จะไปหาจากไหนฟระ คุณสุพจน์เลยร้องแบบไม่มีดนตรีเป็น Un-Plug โชว์ซะเลย ฮาซ้า... แต่เด็กๆ ที่ไปด้วย นั่งกันจะหลับ เพราะไม่ได้ร้องเลย และไม่รู้จักเพลงที่คณะสามโทนร้องด้วย น่าสงสารจริงๆ เลยมีคนยุคกลางอย่างเราที่นั่งขำอยู่คนเดียว

พอร้านปิด เราถึงรู้ว่า เลขาฯ ไซท์เราโดนไซท์เอ็นฯ ของซีสโก้ซิวไปซะล่ะ แหม... เห็นเงียบๆ ตาเดชเนี่ยก็ร้ายแฮะ แอบไปจีบตอนไหนฟระ เพราะวันๆ เห็นแต่อยู่ที่ไซท์ มีแต่ตาประเสริฐมาประชุมที่ออฟฟิสกับเรา แต่ก็ดี เราว่าเขาก็ดูเหมาะสมกันดี ดูตาเดชเป็นคนดีนะ ถึงแม้จะกระเบื้อง(ลีลา)ไปนิด ; )

ป.ล. งานนี้เลยได้เอา CRV ไปฉลองด้วยเลย ขับสบายมาก ไม่รำคาญเวลามีรถไฟสูงๆ ผ่านมาแล้ว และที่สำคัญ ขับบนทางด่วน รถนิ่งมาก ไม่ปลิวๆ เหมือนขับแลนเซอร์ อืม... ชอบจริงๆ เลย อิอิ..

Sunday, July 20, 2008

มหกรรมแห่งงานมหรสพ

ช่างเป็นสุดสัปดาหห์แห่งมหกรรมงานมหรสพ เมื่อวานไปดู Concert AF ฟรีกับหญิง สปอนเซอร์โดยน้องน้ำผึ้ง ต้องขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้นะค๊า... เสียดายที่นั่งไกลไปนิดนึง พอ Concert จะเริ่ม เรากับหญิงก็งัดมือถือขึ้นมาจะปิดเครื่อง ก็ได้ยินอาต้อยประกาศว่า มือถือไม่ต้องปิด เปิดไว้เลย จะได้โหวตได้ตลอดเวลา ฮ้า... เรากับหญิงหัวเราะกันใหญ่ อืม มารยาทขึ้นอยู่กับโอกาส-สภาพแวดล้อม-วัฒนธรรมจริงๆ

รอบนี้เป็นการร้องเพลงเกาหลี ปั๊มร้องได้ดีมาก จน Commentator ทุกคนชม เราว่าที่ปั๊มร้องได้ดี เพราะมันเป็นเพลงที่ทุกคนเริ่มหัดพร้อมกันหมด-ไม่ถนัดพอๆ กัน และร้องเพี้ยนได้พอๆ กัน เลยไม่ดูโดดกันมาก และที่สำคัญ คือ มันไม่มีเสียงเหน่อรอดออกมาเหมือนทุกที 555... สู้ๆ ค่ะ น้องปั๊ม

วันนี้เรากับปุ๊กไปดูละครเวที We Will Rock You (ที่ตอนแรกต๊ะรับปากว่าจะไปดูกับเรา แต่ท่ามากเลย พอปุ๊กโอเคไปดูด้วย เราเลยไม่โทรไปตามเขาอีก เชอะ ไม่ง้อหรอกยะ) ด้วยความงก เรากับปุ๊กดูบัตรถูกสุด แต่ก็โอ เพราะยังงัยก็ไม่รู้จักดาราอยู่แล้ว อ้อ... แต่งานนี้ต้องปิด(เสียง) มือถือนะคะทั่นผู้ชม มีประกาศมาเตือนด้วยเป็นที่เรียบร้อย

เพลงประกอบละครก็เพราะดี ก็แหงซิ ใช้เพลงของวง “ควีน” นิ และก็สมกับเป็นละครจากอังกฤษ ตลกเสียดสีเยอะมาก แต่ก็ขำดี เราว่า ถ้าพวกดาราที่โดนแขวะมาดู คงลมออก 2 หู โดยเฉพาะป้าเอลตัน จอห์น กับน้าวิคเตอร์เรีย เบคแฮม โดนไปหลายดอก แต่คนดูน้อยมาก จนไม่รู้ว่าเขาจะมาเล่นกันอีกรึป่าว ก็น่าเสียดายแทนแฟนๆ วง “ควีน” ที่พลาดงานนี้นะ...

Monday, July 14, 2008

คนมารยามทราม

เมื่อวันศุกร์ตาป.ส. มาอัดเราเรื่องแทงเรื่องไปผิดที่ แล้วโยนเอกสารข้ามโต๊ะมาหาเรากลางห้องประชุม เรางี้ปรี๊ดเลย บอกมันว่า คืนมาให้เราดีๆ ก็ได้ เอกสารตั้งเยอะ เราก็ต้องมีพลาดบ้าง ทำแบบนี้เรารับไม่ได้ มันยังจะมาทำท่ายักไหล่ใส่เราบอกว่า ไม่เห็นเป็นไร เรางี้ปรี๊ดสุดขีด ต้องพูดกลับไปเลยว่า ทีมันกับพวกตอบเอกสารผิดๆ ถูกๆ เราไม่เคยทำแบบนี้เลยนะ ฉุนจนต้อง Walk Out ออกมา เลิกประชุมแม่งเลย โกรธจนมือเย็นไปหมด พอใจเย็นลง ก็เสีย Self เล็กๆ ว่า นี่เรากวนตีน หรือ Aggressive ขนาดมีผู้ชายเกลียดหน้าขนาดนี้เลยรึเนี่ย

พอมาวันนี้มันยังไม่เลิกทะเลาะกับเรา พอเสร็จประชุม Technical Meeting โอนเนอร์ (ชช.) มาคุยกับเราเรื่องการประสานงาน-การแจ้งข้อมูล เราเลยจับได้ว่า มันตามไปฟ้อง ชช. ว่าเรากั๊กข้อมูล เลยทำให้มันลีดประชุมได้ไม่มีประสิทธิภาพ ไอ้ห้าเอ๊ย รู้ช้าไปแค่ ๒ ชม. นี่อ่ะนะ (รวมพักเที่ยงอีกตะหาก) เราว่าเราจะเมลล์แจ้ง หรือจะแจ้งในห้องประชุม มันก็ไม่ต่างกันหรอก อีกอย่าง มันเป็นแค่การ Confirm ด้วย เท่านั้นแหละ เราเลยตบะแตก ฟ้อง ชช. คืนบ้างทันที รีบเล่าเรื่องวันศุกร์ให้ ชช. ฟัง (ตอนแรกกะเฉยๆ แล้วนะ) พร้อมชี้แจงเรื่องแจ้งข้อมูลช้าไป 2 ชม. ให้ ชช. ฟัง เขาฟังแล้วอึ้งไปเลย เราเลยรัวไปเป็นชุดว่า ตั้งแต่ทำงานมา เราไม่เคยไปว่าอะไรมันให้ ชช. ฟังเลยนะ แต่มันเล่นเราไปกี่ดอกแล้วล่ะ เราก็โกรธเป็นนะ (สวมวิญญาณนางเอกสุดฤทธิ์) ชช. เลยพูดเบาๆ ว่า ตาปส. ทำไม่ถูก จากที่จะมาเตือนเรา เลยกลายเป็นต้องไปเตือนตา ปส. แทน เราเลยพูดเสียงเรียบๆ ว่า “ช่วยพิจารณาเปลี่ยน Resident Engineer ด้วยค่ะ”

สรุปว่างานนี้ เราไม่ต้องพึ่งหนังสือ “มารยาทในการทำงาน” แล้ว เพราะเราคิดว่า มันไม่จำเป็นที่เราจะต้องมีมารยาทกับคนมารยาททรามอย่างมันอีกต่อไป!

Sunday, July 6, 2008

คอนเสิร์ทเพลงของประภาส

หลังจากไปดูคอนเสิร์ทเฉลียงมา ป้าๆ ก็มีกิจกรรมแนวนี้มากขึ้น คราวนี้เลยไปดูคอนเสิร์ทเพลงของประภาสกัน เป็นคอนเสิร์ทที่ให้ศิลปินต่างๆ มาร้องเพลงที่แต่งโดยคุณประภาส ก็มีนักร้องที่เราชอบๆ อยู่บ้าง เช่น เฉลียง (อันนี้แน่นอน ไม่มาจะถือว่าคอนเสิร์ทขาดความสมบูรณ์), เจนนิเฟอร์ คิ้ม (เสียงดีมากกกกก ติดใจตั้งแต่ตอนไปดูปร้าแกร้องให้กับงานเปิดตัวโครงการของแสนสิริแล้ว) และสามโทน

พอไปดูจริงๆ ถึงเห็นว่ามีศิลปินอีกหลายคน มีทั้งที่เรารู้จัก อย่าง ปาน-ธนพร, พี่ป้าง และเบน-ชลาทิศ กับที่ไม่รู้จักอีกหลายคน พอออกต้องคอยถามเก๋ว่า คนนี้เป็นใคร แต่ที่เราประทับใจ คือ นักร้องสาวตาบอดที่มาร้องเพลง “ต้นชบา” เสียงดีมากๆ และเราว่า แบบนี้ก็ดีนะ เป็นการให้กำลังใจดี ที่เรายังคงชอบ คือ มุขของคุณเจี๊ยบ-เฉลียง เราว่ามันยังใช้ได้ดีตลอด ไม่มีไม่ขำ (แต่มารู้ทีหลังว่า มีบางคนไม่ชอบ อืม... เรื่องการเมืองเอามาคุยกันไม่ได้จริงๆ) คอนเสิร์ทเล่นกันยาวนานกว่า 4 ชม. (มีพักเบรคให้ศิลปินไปพักกินน้ำ กับให้คนดูไปทายาแผลกดทับอีกตะหาก) เลิกเอาเที่ยงคืน ทำเอาป้าบางคนถึงกับแอบหลับในคอนเสิร์ท (สังขารไม่เที่ยงจริงๆ) เลยทำให้ไม่มีการอังกอร์ให้ศิลปินกลับมาร้องเพลงใหม่ เอาเหอะ แค่นี้ก็คุ้มสุดๆ แล้ว อิอิ...

Friday, July 4, 2008

กินปูนร้อนท้อง

คุณสุพจน์แวะมาบอกเราเรื่องวันไปคาราโอเกะ พี่ณัฐเลยมุขทันทีว่า “ดีๆ แล้วจะให้หนิงร้องเพลงคู่กับ ป.ส.” เราก็ไม่ยอมแพ้ตอบไปว่า “ได้ เดี๋ยวร้อง 3 เพลงรวดเลย” แล้วคุณสุพจน์ก็ต่อมุขเราว่า “ดีๆ คุณหนิงยิ่งพูดจาไม่ใส่น้ำตาลอยู่ด้วย” แล้วก็เดินหัวเราะจากไปกับพี่ณัฐ เราก็ทำงานต่อ แต่ทำๆ ไปซักพักจิตใจชักว้าวุ่น เอ... เราว่า เราก็ระวังการพูดจากับมันต่อหน้าธารกำนัลมากแล้วนะ แล้วก็ลงทุนซื้อหนังสือมารยาทงามฯ มาอ่านแล้วด้วย นี่กรูไปหลุดตอนไหนอีกฟระ พอแชทกับปุ๊ก ปุ๊กก็ช่วยราดน้ำมันอีก คราวนี้เราเลยทนไม่ได้ โทรไปเคลียร์กับคุณสุพจน์ทันที เย็นย่ำ-เลิกงานแล้วอิชั้นก็ไม่สนใจ ยังงัยก็ต้องคุย แถมคุยซะครึ่งค่อนชั่วโมงอีกตะหาก ถ้าเมียคุณพี่จะเข้าใจผิด อิชั้นก็ไม่สน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร คุณสุพจน์ได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่า “ผมพูดเล่น” โห... คุณพี่... พูดเล่นแบบนี้อิชั้นเครียดนะฮ้า... บ้าที่สุด!

Thursday, July 3, 2008

งานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกลา

ในที่สุดงานเข็มเจาะของโครงการก็เสร็จจริงๆ เลยได้เวลาที่พี่น้ำพริกอ่องจะได้เข้าพบพี่วิลฯ เพื่อขอความเห็นใจเรื่องค่าเหล็ก พอเราพาพี่น้ำพริกอ่องกับคุณสุพจน์ไปส่งที่หน้าห้องประชุม เราก็เดินออกเลย คุณสุพจน์รีบหันมาบอกให้อยู่ เราก็ไม่เอา โอ๊ย เดี๋ยวอิชั้นเก็บอาการไม่อยู่ เข้าข้างพี่น้ำพริกอ่องเกินงาม มันจะเสียเอาน๊า ไปดีกว่า

แล้วเราก็ดักรอพี่น้ำพริกอ่องที่ลานจอดรถเพื่อเซย์กู๊ดบาย ก่อนแยกย้ายกัน พี่น้ำพริกอ่องบอกว่า ถ้าเขาขายที่ได้แล้วจะโทรมาบอกเรา เราเลยมุขทันทีว่า ได้ๆ แล้วไอจะจองบันยันทรีเพื่อฉลองเลยล่ะ 555... (พูดจริงนะฮ้า... 555...) แต่จะว่าไปแล้ว ก็ใจหายเล็กๆ อยู่เหมือนกัน ต่อไปอิชั้นจะเอาแรงบันดาลใจที่ไหนมาทำงานเช้าวันจันทร์ละเนี่ย โฮๆๆ...

Sunday, June 29, 2008

น้องพิม


ดิวมา กทม. เลยนัดเจอกัน แน่นอนต้องไปบ้านดิว เพราะคิดว่ามันคงสะดวกสำหรับดิว คราวนี้มีน้าหนิง, น้าปุ๊ก และน้าหมูไปกันแค่ 3 คน เพราะน้าหญิงติดภารกิจลูกกตัญญู ต้องพาแม่ไปฟังสัมนา (ดิวน่ารักมาก ที่ยอมให้เพื่อนโสดๆ เป็นแค่คุณน้า 555...)

มาคราวนี้น้องพิมโตขึ้มาอีกหน่อย พูดได้มากขึ้นแล้ว ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็ร้องเพลงร้องกระทงโชว์น้าๆ ซะหลายรอบ ซึ่งขัดกับหน้าตาของเจ้าตัวยิ่งนัก (ฝรั่งซะขนาดนั้น) แม่ดิวบอกว่า คราวหน้ามาจะให้น้องพิมพูดภาษากวางตุ้งโชว์น้าๆ ด้วย โอ้ว... เก่งจริงๆ เลยหลานชั้น... ; )

Thursday, June 19, 2008

อิทธิฤทธิ์ของข่าวลือ

กำลังต่อราคากันอยู่กับผู้รับเหมา ก็ได้ยินเสียงดังตึงใหญ่ คนในห้องประชุมก็ขำๆ แล้วก็ประชุมต่อ มารู้ทีหลังว่า ไอ้เสียงดังตึงใหญ่นั้น คือ เอ๋วูบไป เลยล้มซะโครมใหญ่ พอซักพักนึง ช่างแว่นก็โทรมาหาเราด้วยความตกใจ เพราะข่าวลือที่ช่างแว่นได้ไป คือ เอ๋ล้มในห้องน้ำ (ความจริง คือ มันล้มในออฟฟิส) และหมอสรุปว่ามันต้องทำบอลลูนหัวใจ (ความจริง คืด หมอกำลังเช็คหัวใจมันเพื่อหาความผิดปกติอยู่) เฮ้อ... ห้ามประมาทอิทธฤทธิ์ของข่าวลือจริงๆ นะเนี่ย แต่จะว่าไป เราก็หนาวๆ เพราะ หห. ก็เคยเป็นแบบนี้ เกิดเราเป็นตอนอยู่คนเดียว จะทำงัยวะ คิดแล้วก็สยองเหมือนกัน...

พอหายตกใจเรื่องเอ๋ ก็มีพลเอก หรือพันเอก ก็ไม่รุ จำไม่ได้ซะล่ะ จำได้แต่นามสกุลของทั่น (สารสิ-) โทรมาโวยว่า หลังเต่ายักษ์ของโครงการฯ ทำทัศนียภาพหน้าบ้านเช่า (ที่โครงการฯ ได้เช่าจากทั่นมาแล้ว) ของทั่นเสียหาย และแม้ว่าหลังเต่าอันนั้นมันจะสร้างอยู่บนถนนซึ่งเป็นที่ดินของโครงการฯ ก็ตาม หลังจากโวยอยู่ ๑๐ นาที ก่อนวางหูคุณลุงพลเอก หรือพันเอกนี่แหละบอกเราว่า “พวกคุณต้องรีบดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้โดยด่วน ผมจะบอกให้ว่า ผมสามารถให้ตำรวจมาถึงโครงการฯ ภายใน ๑๐ นาที ถ้าโครงการฯ คุณโดนระงับการก่อสร้างจะเสียหายมากกว่า ไปลองคิดดู!” แหม ไม่ต้องขู่กันขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แค่ตัวคุณพี่ก็ยศหญ่ายซะขนาดนั้นแล้ว ถึงไม่บอก นังเย็นอย่างอิชั้นก็พอจะคาดเดาถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของทั่นได้ แต่ว่า... การใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่มิชอบแบบนี้ ทั้งชาติบ้านเมืองและตัวทั่นเองจะไม่เจริญนะคะ แล้วถ้าใหญ่มั่กๆ ขนาดนั้นจริง ช่วยไปปราบโจรใต้ให้อิชั้นหน่อยเถอะคะ เรื่องมันก็หลายปีแล้วนะคะ ตกลงยังจะปราบปรามกันอยู่อีกหรือไม่เจ้าคะ ชาวบ้านชาวเมืองอย่างอิชั้นจะได้ปฎิบัติตนถูก พอเราเล่าเรื่องตาลุงนี่ให้พี่ณัฐฟัง พี่ณัฐบอกว่า “เจอพวกซื้อของในพารากอนอีกล่ะ เบื่อว่ะ” นั่นดิ หนิงก็เบื่อเหมือนกัน แต่เราก็ต้องทนเบื่อใช่ป่ะ เบื่อโว๊ยยยยยยยยยยย....

Sunday, June 15, 2008

เก็บตกหัวหิน

คราวนี้เก๋ไม่ไป ไม่รู้เพราะอะไรแน่ ป้าๆ ก็คาดเดากันไปต่างๆ นาๆ แต่เราคิดว่า มันคงยังไม่หายรู้สึกผิดเรื่องลูกหยีมั๊ง (ไม่รุ มันจะเป็นบัวพ้นน้ำเมื่อไหร่ หญิงทำหน้างงๆ บอกว่า “อ้าว เรื่องมันจบไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ” เราบอกว่า “เออ แต่ไอ้เก๋มันยังไม่ยอมจบน่ะ”) งานนี้เลยมีปุ๊กกับแม่ (ซึ่งแยกไปพักที่เชอราตันเพราะปุ๊กได้บัตรพักฟรีมา) ส่วนหญิง, เรา, หมู และนิจ พักที่โซฟิเทล ตามมาตรฐานโรงแรม 5 ดาวของนิจ ซึ่งงานนี้นิจทุ่มจ่าย 50% ของราคาที่พัก ส่วนปุ๊กจะเลี้ยง Seafood ๑ มื้อ เราตั้งใจจะกินปูซัก ๕ ตัว 555...

บังเอิญว่าอาทิตย์นี้เป็น Jazz Festival คนเลยเยอะมาก เขามีจัดงานแถวชายหาดหน้าโรงแรมที่พัก กินข้าวเย็นเสร็จพวกเราเลยไปเดินดูบรรยากาศกัน เราว่าหน้าตาคนมาดู ไม่เหมือนพวกชอบฟังแจ๊ส เหมือนคนที่มาดูคนฟังแจ๊สมากว่า บรรยากาศก็ออกจะคล้ายๆ งานวัด แต่บังเอิญมาตั้งอยู่ริมหาด เลยดูไฮโซขึ้นมานิดๆ และมีร้านมาขายของกินด้วย หนึ่งในนั้นคืด ร้าน Below 18 Degree ของอดีตนางเอกสาวสลักจิต ดลมินทร์ ซึ่งเราฟังเขามาออกรายการสุริวิภา เลยปรี่เข้าไปจะซื้อ แต่พอเห็นราคาลูกละ ๘๐ บาท เลยต้องถอยออกมา โอ้ว... ชาตินี้พี่คงไม่มีวาสนาได้ลิ้มรส เศร้า อ่ะ เศร้า... แล้วก็เดินต่อ เดินไปจนสุดงาน ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ หญิงหันมาบอกว่า “กลับไปดู Concert AF ดีกว่า” 555... อุตส่าห์มาช่วงงาน Jazz Festival นะเนี่ย...

ทริปนี้เปลี่ยนจากทริปถอนผมหงอก เป็นทริปย้อมผม ขนาดแม่ยังแซวว่า ใจคอสาวๆ จะมาเปลี่ยนที่ย้อมผมกันรึงัย เอาเข้าจริง นิจได้หมูเป็นช่างทำผมให้ หมูทำได้คล่องแคล่วมาก และคงเป็นเพราะผมนิจสั้น เลยเหลือมาย้อมให้เราได้อีกนิดหน่อย แม่ชมว่า นิจย้อมผมได้สวยดี เลยทำเอาหน้าบานทั้งช่างทั้งคนมาเสริมสวย 555...

ขากลับเราเห็นชาย-ชาตโยดม กับ สุรพล ชาวปากน้ำ (ตัวจริงขาวกว่าในทีวี) และผู้หญิงอีกคน แต่หน้าตาไม่ยักเหมือนน้องวิกกี้ ก็เลยอดทำตัวเป็นปาปารัสซี่ อดได้ตังค์ แหม... ก็เขาจ่ายกันตั้ง ๓๐๐ บาทต่อภาพเชียวนะ แต่ที่ขำ คือ แม่แซวว่า เราคงเป็นเนื้อคู่กับชาย เพราะบังเอิญเจอกันตั้ง 2 ครั้งแล้วนะ 555...

ปล. คราวนี้ไม่มีรูปประกอบนะ เพราะนิจเอากล้องใหม่ไปลอง เราว่า ถ่ายออกมาดูดีกว่ากล้องเราโคตรๆ เลยละอายใจเก็บรูปไว้ดูคนเดียว ฮือๆๆ...

Friday, June 13, 2008

Sex and the City

วันนี้เรากลับเร็วเลยมีคนแซว พอบอกว่าจะไปดูหนังเรื่อง Sex and the City ผู้ชายแถวนี้ก็อ้าปากหวอกัน เราถึงถึงบางอ้อว่า ชื่อหนังมันโป๊ไปหน่อย เลยต้องแก้ตัวพัลวัน แหม... เสียภาพพจน์หมด พอไปถึงโรงหนัง ก็มีปัญหาอีก เพราะเราไม่ได้รับโทรศัพท์ Confirm ที่นั่ง เขาเลยไม่ยอมให้ตั๋วเรากับหมู อ้าว ใครจะไปรู้ล่ะ ก็ทุกทีนกจัดการให้มันเลยนิ แถมซวยตรงที่เขาโทรมาเมื่อเช้า เรากำลังประชุมอยู่ เลยไม่ได้รับโทรศัพท์ เลยชวดตั๋ว ต้องย้ายมาอยู่ในโหมด Stand-by เราเลยโวยวายใหญ่ โชคดีที่พี่กูลอยู่แถวนั้น เขาได้ยินเสียงคนโวยวายเลยหันมาดู พอพี่กูลพูดว่า “อ้าว หนิงเองเหรอ” แค่นั้นแหละ ยัย CS Manager ที่พยายามชี้แจงกับเรามาโดยตลอดว่า เราต้องรอก่อนก็พูดขึ้นมาทันทีว่า “เชิญเลือกที่นั่งด้านนี้ค่ะ” แหม... นี่พี่กูลยังไม่ทันได้พูดประโยค ๒ เลยนะเนี่ย ช่างใหญ่โตจริงๆ เลยพี่เรา เราเลยให้หมูไปเลือกที่นั่ง แล้วตัวเองแว่บไปขอบคุณพี่กูลเล็กน้อย นึกในใจดีนะเนี่ยที่ไม่เชื่อนก เพราะนกบอกให้โทรไปหาพี่เมธาเลย เราว่ามันออกจะเว่อร์ไปนิดนึง แค่เรื่องดูหนังนี่อ่ะนะ ต้องไปรบกวน CEO เสียเงินดูเองก็ได้ และที่สุดก็ได้ดูฟรีจนได้ ดีใจจัง...

ปุ๊กบอกว่า พวกคนเขียนวิจารณ์หนังบอกว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังของป้าวัย ๔๐ พอเราไปดูถึงเข้าใจ ทีแท้ก็เพราะป้าแครี่ได้แต่งงานตอนอายุ ๔๐ นี่เอง ซึ่งก็นับว่าเป็นหนังให้กำลังใจเรามาก 555... โดยรวมๆ หนังก็โอนะ ชุดสวยทุกชุด สมราคาหนัง ที่เราชอบ คือ มุขคำพูด เราว่าเขาเล่นคำได้ดี ดูแล้วก็ฮาดี (แต่ขอบอกว่า ถ้าได้คนอังกฤษมาเขียนบท จะฮากว่านี้อีก เพราะคนอังกฤษมีพรสวรรค์เรื่องตลกเสียดสีประชดประชันมาก - อันนี้จากประสบการณ์ตรง) เราชอบตอนที่ชาล๊อตบอกว่า ถ้าได้เจอหน้าบิ๊กอีก จะด่าบิ๊กให้แสบเพราะบังอาจมาสติแตกทิ้งเพื่อนรักในวันแต่งงานซะได้นิ (เราว่าบิ๊กโดนแครีย์ตบด้วยมือนั่นยังน้อยไป น่าจะโดนตบด้วยเปลือกทุเรียนตะหาก 555...) ซึ่งชีคิดไว้แล้วว่าจะด่าบิ๊กว่าอะไร ชีจะด่าว่า “I’ll curse you for …” นั่นด่าแล้วรึวะ สมกับเป็นชาล๊อตจริงๆ 555... แต่หนังเรื่องนี้โป๊กว่าในทีวีมาก เบ้บอกว่า ซีรียส์นี้ที่อเมกาก็โป๊แบบนี้ และเผลอๆ อาจจะโป๊กว่าด้วยซ้ำ ที่เคเบิลเมืองไทยเขาตัดฉากโป๊ๆ ออกน่ะ พึ่งรู้นะเนี่ย แต่ที่เศร้าใจที่สุด คือ เบ้บอกว่า อย่าไปพูดว่าเป็นหนังของป้าๆ เพราะตอนนี้เราเรียกคนอายุ ๔๐ ว่า "พี่" แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราก็จะเรียกคนอายุ ๔๐ ว่า "น้อง" ฟังแล้วเศร้าโคตรๆ โฮๆๆ...

Thursday, June 12, 2008

เมื่อนังเย็นโดนขู่

ตอนเช้าโดนชาวบ้านโทรมาด่าเรื่องคนขับรถดินขับรถเลวมาก อิชั้นก็ได้แต่ “ค่ะ แล้วจะย้ำกับหัวหน้าชุดให้ค่ะ แต่ยังงัยคราวหน้ารบกวนแจ้งเลขทะเบียนรถด้วยนะคะ” ตกบ่ายก็มีอีกโทรศัพท์นึง แต่คราวนี้ออกแนวข่มขู่แบบโรคจิต เฮียโทรมาบอกว่า “คราวนี้ผมแค่โทรมาเตือนคุณ คุณไม่ต้องรู้หรอกว่าผมเป็นใคร รู้แค่ว่าผมรู้ว่าคุณเป็นใครก็พอ และผมจับตามองพวกคุณอยู่” ไอ้บ้า ตอนเย็นๆ อิชั้นเดินไปซื้อข้าวเย็นกินคนเดียว อิชั้นจะโดนดักตีหัวไม๊เนี่ย... เฮ้อ...

Saturday, June 7, 2008

บ่อยไปป่ะ???

ตอนแรกหงษ์บอกว่าจะเลี้ยงข้าวเย็น เนื่องในโอกาส “ช่างคุย” มีอายุครบ ๒ ปี แต่ชั้ยมาเบี้ยวในนาทีสุดท้าย งานเลยล้มเฉยเลย พอดี๊ พอดี หญิงโทรมาชวนไปกินข้าว เราเลยไม่ต้องกินมาม่าช้อนสั้นเย็นนี้ และเพราะเป็นการนัดกระทันกัน ปุ๊กเลยไม่ได้เอาหนังสือเที่ยวญี่ปุ่นติดมาให้เรา ก็เลยต้องนัดกันใหม่อีกทีพรุ่งนี้ ให้ตายเหอะ จะเจอกันบ่อยไปแล้วไม๊เนี่ย…

ตอนบ่ายอู้งาน แว่บเล่น hi5 เลยเจอที่แฟนเบ้มาโพสต์ไว้ อ่านแล้วก็ขำดี เขาบอกว่า...


เพื่อน...ก็เหมือนน้ำ เฉยๆแต่ขาดไม่ได้
แฟน...ก็เหมือนข้าว บางทีก็ไม่หิว แต่ต้องกิน
ชู้...ก็เหมือนเหล้า รู้ว่าไม่ดี แต่ชอบ อ่า...
กิ๊ก...ก็เหมือนน้ำหวาน นานๆทีก็โอ... มากไปก็เลี่ยน
แฟนเพื่อน...ก็เหมือนเหล้าเถื่อน...ร้อนแรงแต่อันตราย

เห็นด้วยว่า “เหล้าเถื่อน”นี่มันเร้าใจจริงๆ 555...

Thursday, June 5, 2008

อายเขาไม๊ล่ะ

พี่สแตนฯ บอกให้พี่รอสเพิ่มห้องพักคนขับรถในชั้นใต้ดิน แล้วก็บอกว่า อย่าลืมใส่ห้องน้ำให้คนขับรถไว้แถวๆ นั้นด้วยนะ พี่รอสตอบว่า “Don’t worry. Our project has lots of toilets. Probably, they are lots more than Suwannaphumi Airport.” ฟังแล้ว จอห์นกับโอนเนอร์ฮ่องกง 2 คน ก็ฮาแตก มีคนไทยนั่งหน้าชาๆ อยู่ เรางี้นึกในใจ กรูจะด่าใครดีระหว่างไอ้พี่ตั๊กกับไอ้สุริยะ โฮ... ทำมาเป็นคุยว่าจะเหนือกว่าสนามบินฮ่องกงหรือสิงคโปร์ อิชั้นว่า เอาชนะสนามบินมาเลย์ฯ ให้ได้ก่อนเต๊อะ แล้วค่อยเสนอหน้าไปแข่งกับอีก 2 ประเทศนั้น อุตส่าห์สร้างสนามบินทีหลังชาวบ้านเขา แต่แค่สาธารณูปโภคพื้นฐานที่สุดที่เป็นสิ่งปลูกสร้าง ยังทำได้ห่วยขนาดนี้ ไม่ต้องคิดเลยว่า การจัดการสนามบินที่ต้องใช้ “คน” ในการดำเนินการมันจะยิ่ง... เฮ้อ... ประเทศไทย...

Friday, May 30, 2008

เมื่อป้าไปอบรม Safety

หลังจากเลื่อนไปเลื่อนมาอยู่ชาตินึง เราก็ตัดใจไปอบรมเรื่อง Safety เพราะในที่สุดก็หนีไม่พ้น ต้องดูมันด้วย เพราะพี่ณัฐไม่ยอมไปขอ Site Manager ให้เราซะที เวลาประชุมเรื่องนี้ทีไร เรารู้สึกไม่ค่อยดีทุกทีที่ไม่รู้จะไป Add Value อะไร ประชุม Safety ทีไร ก็หนักไปทางประชุมเรื่องการจัดการเพื่อนบ้านทุกทีไป เฮ้อ...

แต่พอไปอมรมแล้ว แทนที่เราจะรู้สึกดีที่มีความรู้เพิ่มขึ้น เรากลับรู้สึกหนาวๆ ซนิ เพราะเราพึ่งจะรู้ว่า ไอ้ที่เราเซ็นอนุมัติไปโครมๆ ทุกวันให้ผู้รับเหมาทำงาน เราต้องรับผิดชอบด้วยถ้ามีอุบัติเหตุและมีการสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาจริงๆ เออ... มิน่าล่ะ ใครๆ ถึงบอกว่า ทำงานแบบนี้เหมือนมีขาข้างนึงอยู่ในตาราง แห่ม... เครียดโว๊ย ต่อไปอิชั้นจะมุ่งมั่นตั้งใจจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น แต่พอเห็น ตย. อุบัติเหตุที่เขาฉายให้ดูทีไร เรานึกถึงไข่นุ้ยทุกที คนซาดิดส์อย่างมันคงซี๊ดซาดส์ถูกใจอย่างเมามันเป็นแน่ เป็นทีน่าสังเกตว่า ตย. แย่ๆ ในเรื่องของอุบัติเหตุจะเป็นคนแนวหน้าตาอย่างคนบ้านเฮา หรือออกแขกๆ หรือไม่ก็ตี๋ๆ เห็นแล้วก็กลุ้มใจ เพราะคนไทยไม่มีจิตสำนึกด้านความปลอดภัย (รวมถึงตัวเรา) ชอบหยวนๆ พอมีอุบัติเหตุทีถึงจะสำนึก ผิดกับญี่ปุ่น นี่ช่างเป็นสุดยอดในด้าน Safety จริงๆ ฟันธงได้ ตัวอย่างดีๆ ที่เขายกมาให้ดู ล้วนแล้วแต่เป็นของประเทศนี้ทั้งสิ้น

เออ... ได้ออกมานอกกะลาบ้าง ก็รู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง...

Saturday, May 24, 2008

บังเอิญจริงๆ น๊า

วันนี้พี่ยู้เลี้ยงแต่งงานที่ร้านอาหารแถวบ้านเรา เราคิดอยู่เป็นนานว่าจะเบี้ยวดีไม๊ เพราะโหมดอิจฉามันพุ่งพรวดซะเหลือเกิน ก็แหม... สาวที่เราเรียกว่า “พี่” ได้แต่งงานนี่อ่ะนะ แต่คิดไปคิดมา ถ้าไม่ไป จะโดนพี่ๆ ด่าเป็นแน่ เพราะบอกล่วงหน้ามาเป็นอาทิตย์แล้ว เลยต้องทำใจไปร่วมงาน และแม้ว่าต๊ะจะโทรมาชวนให้ไปดูละครถาปัดฯ ด้วยกันก็ตาม ก็จำใจต้องปฎิเสธไป

ในงานก็มีการสัมภาษณ์เจ้าบ่าว-เจ้าสาวตามระเบียบ เราถึงรู้ว่า มันเริ่มมาจากฝ่ายชายโทรไปหาฝ่ายหญิง แต่ไม่เจอ และเพราะพี่ยู้ไม่ได้เมมเบอร์เจ้าบ่าวไว้ (อ้าว ก็คนมันไม่สนิทกันหนิ) ก็เลยไม่ได้โทรกลับ จนพี่แป๋มทนไม่ได้ ต้องโทรไปบอกใบ้ให้พี่ยู้โทรกลับเบอร์ Missed Call เขาถึงได้มี First Date กัน และมีวันนี้ในที่สุด เราเลยท่องจำไว้ทันที ต่อไปเราจะโทรกลับทุกเบอร์ Missed call!!!

พอใกล้เลิกงานเลี้ยง ต๊ะโทรมาหาเราอีกที เพราะเขาบังเอิญจอดรถไว้ที่ร้านอาหารร้านอาหารนี้พอดี เลยได้เจอกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปี ต๊ะเอาหนังสือที่เด็กถาปัดฯ ทำขายมาให้ เลยได้คุยกันแป๊ปนึง แต่ก่อนที่เราจะวิ่งไปหาต๊ะ เราต้องบอกพี่แป๋ม-แม่งานก่อนว่า ที่เรามีชายหนุ่มมาหา มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ นะ อย่าได้คิดมากไป แต่พอเห็นสายตายิ้มๆ ของพี่แป๋ม เราเลยต้องปิดดิวโดยการบอกว่า “เอ่อพี่คะ เขาเป็นเกย์ค่ะ” เลยเป็นอันละครอวสานทันที เฮ้อ... โล่งอก...

Sunday, May 18, 2008

ที่พึ่ง?

วันก่อนหมูบอกว่า หมูไปไหว้พระที่ศาลเจ้ากวนอูแถวเยาวราชด้วยความบังเอิญ และคนที่ดูแลศาลเจ้าฯ บอกว่า ถ้าใครเช่าเทพเจ้ากวนอูไปบูชา จะได้แต่งงานภายใน ๗ เดือน วันนี้เรารีบชวนหมูไปทันที แม้ว่าป้าๆ จะแซวว่า อย่าไปทำลายความขลังของศาลเจ้าเขาเลย อีกหน่อยเขาคงขึ้นรูปเราตามวัดวาอารามและศาลเจ้าว่าเป็นบุคคลอันตราย ห้ามเข้าเด็ดขาด (แหม ทำประหนึ่งอิชั้นเป็นอาชญากรวัดงั้นแหละ) อีกอย่าง ท่านกวนอูเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามนะ ไม่แน่จะมาเกี่ยวกับความรักได้ แต่เราก็ไม่นำพา ชวนหมูไปจนได้ แหม… ถ้าได้แต่งงานจริง จะแบ่งค่าสินสอดให้หมูทีเดียวเชียวในฐานะผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ

แต่ไปเริ่มที่วัดไตรมิตรก่อน เพราะเราดูรายการศึก ๑๒ ราศีเมื่อต้นปี หมอลักษณ์บอกว่า คนเกิดราศีเราปีนี้ควรไปไหว้พระที่วัดไตรมิตรถึงจะรุ่งๆ และวัดนี้ก็เป็นวัดทางผ่านซะด้วย เลยแวะไหว้กันก่อน ในโบสถ์มีพระมารดน้ำมนต์ด้วย ในขณะที่เรากับหมูกำลังลังเลใจกันว่าจะไปต่อคิวรดน้ำมนต์ดีไม๊ เราก็ได้ยินเสียงจ๊อกแจ๊กพร้อมกับกลิ่นไม่พึงประสงค์อันคุ้นเคย ทันใดนั้นก็มีคนอินเดียกลุ่มใหญ่ฮือเข้ามายืนข้างหน้าเรากับพระ เราเลยตัดสินใจใส่เงินทำบุญลงกล่องโดยไม่รอรดน้ำมนต์แล้ว โอ๊ย… รอไม่ไหวละค๊า ขอตัวก่อนนะคะ

ตอนเดินออกมาหมูชี้ให้ดูโบสถ์อันใหม่ของวัดที่กำลังสร้างอยู่แล้วก็บ่นว่า ดูดิ สร้างซะสูงชันขนาดนี้ คนแก่ที่ไหนจะขึ้นไหว ไม่รู้จะทำลิฟต์อำนวยความสะดวกรึป่าวเนี่ย นั่นดิเราก็ว่า ทำไมสร้างวัดเอาแต่ความสวย-อลังการ แต่ไม่ได้คำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายเล๊ย… คุณปู่-คุณย่าเขาจะขึ้นไปไหว้กันยังงัยละเนี่ย เฮ้อ…

คราวนี้ไปถึงศาลเจ้ากวนอูล่ะ พอเราตกลงจะเช่ามาบูชา คนดูแลศาลก็บอกว่า "ขอให้ท่านดลให้แม่สื่อติดต่อมาภายใน ๗ เดือนนะครับ" เราฟังแล้วชะงักหันไปมองหน้าหมูทันที แล้วกระซิบเสียงเย็นๆว่า "ไหนแกบอกว่าจะได้แต่งงานภายใน ๗ เดือนฟระ จริงๆ คือ จะมีแม่สื่อเข้ามาในชีวิตภายใน ๗ เดือน ตะหาก ซึ่งอย่างหลังเนี่ย ชั้นก็มีแม่สื่อมาเรื่อยๆ อยู่แล้วนะ อ้อ แต่ หห. นี่ไม่นับเป็นแม่สื่อนะ" หมูก็หัวเราะเขินๆ แต่ไหนๆ ก็มาแล้วด้วยแรงศรัทธา เราเลยยังเช่าท่านกวนอูมาบูชาอยู่ดี แต่ก็ให้นึกในใจว่า หรือเราจะใช้เงินแก้ปัญหาอย่างที่นกมันแนะนำดีฟระ ๕,๐๐๐ บาท ได้ตั้ง ๓ เดท แน่ะ!

พอส่งหมูขึ้นรถไฟฟ้าเสร็จ เราถึงเห็นว่า หมูลืมร่ม (ของเรา) ไว้ในรถเรา เรานึกในใจว่า ไม่ใช่ร่มไม่ยอมจากหมูไปไหนหรอก จริงๆ แล้ว ร่มไม่ยอมจากเราไปไหนตะหาก อิอิอิ…

Saturday, May 17, 2008

ดูคนผิด?

เมื่อวานเราแอบเห็น ตาปส. เรียกพี่น้ำพริกอ่องมาคุยเรื่อง V.O. งานปรับปรุงดิน พอเราเดินเข้าไปร่วมวง เฮียก็เก็บเอกสารไปไม่ให้เราเห็น (แต่เราก็ยังอุตส่าห์เห็น) เราเลยทะแม่งๆ ในใจ เพราะ V.O. ตัวนี้ ตาปส. ค้านหัวชนฝาเลยว่า ไม่ใช่ V.O. เราเลยส่งเรื่องไปให้ดูว่า ช่วย Comment เฉพาะปริมาณงานก็พอ ส่วนจะใช่ V.O. หรือไม่ เราจะคุยกับ QS กับ Owner เอง วันนี้เราเลยโทรไปถามพี่อองวินว่า คุณ ปส. เขาคอมเม้นท์อะไรเป็นพิเศษไม๊ พี่อองวินบอกว่าไม่มี เขาแค่ให้ส่งรูปถ่ายประกอบเพิ่มเติมเท่านั้น ทำเอาเรางงๆ ว่า ทำไมจู่ๆ เฮียเกิดเปลี่ยนใจฟระ พี่อองวินเลยถามเราใหญ่เลยว่ามีปัญหาอะไรเหรอ คราวนี้เราเลยซวยต้องแก้ตัวเป็นพัลวันแทน เฮ้อ… แล้วพี่อองวินก็ชมว่า เราขยันมาก มาทำงานวันเสาร์ตลอด เราเลยแซวว่า เขาก็มาทำวันเสาร์เหมือนกัน น่าจะไปเที่ยวกับลูกมากกว่านะ งานนี้เราถึงรู้ว่าพี่อองวินไม่มีลูก และตั้งใจไม่มีลูกด้วยอีกตะหาก พอดีแฟนเขามีลูกไม่ได้ เลยเป็นอันผลประโยชน์ลงตัว อะไรวะ พี่น้ำพริกอ่องดูออกจะเป็น Family man มากๆ ในสายตาเรา นี่อิชั้นมองผิดไปขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย… แย่จัง…

ช่างผิดกับคุณสุพจน์ที่ปกติเป็นคนยียวนกวนบาทาสุดฤทธิ์ ขนาดท่าเดินยังเดินกวนเท้าเหมือนพวกจิ๊กโก๋หน้าปากซอยยังงัยยังงั้น แต่แสนจะเป็นคนรักลูก Family man กว่าเป็นกอง เพราะเมียแกเขียนชมว่า ลูกติดพ่อมากกกกกกก คนเรามองกันที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ นะเนี่ย เรากำลังปลงๆ อยู่พอดี คุณสุพจน์ก็เดินมาแซวเราว่าให้กลับบ้านได้แล้ว อย่าทำงานจนเย็นเกินไป เราเลยพูดกลับบ้างว่า งั้นคุณสุพจน์ก็ควรรีบกลับบ้านไปหาลูกเหมือนกัน เพราะนี่เป็นวันเสาร์ และลูกออกจะติดพ่อนิ แต่แกตอบเราว่า "ยังกลับไม่ได้ครับ เพราะลูกยังไม่กลับบ้าน" เราก็พาซื่อชมว่า "แหม… คุณพ่อก็ติดลูกเหมือนกันนะเนี่ย ต่างคนต่างติดซึ่งกันและกันเหรอค่ะ" คุณสุพจน์ทำหน้าตายตอบว่า "ไม่ใช่ครับ ผมต้องรอให้ลูกกลับบ้านก่อนผมถึงจะเข้าบ้านได้ เพราะที่บ้านผมใช้ประตูแบบ “ลูกบิด” ครับ" ทำเอาอึ้งไปทั้งห้อง แป๊ปนึงเอ๋ก็ขำก๊ากออกมา แล้วทำท่าเปิดประตูพร้อมกับพูดว่า "ลูกกกกกบิดดดดดด" คราวนี้เลยได้ฮาพร้อมกันห้องแทบระเบิด ๕๕๕… ทำเอาเราอดสงสัยไม่ได้ว่า เมียแกเคยไล่แกทันบ้างป่าววะ ๕๕๕….

ว่าแล้วเราก็เลิกงานเร็วตามที่คุณสุพจน์บอก แต่เป็นเพราะเรามีนัดไปอัดรายการกับหงษ์ตะหาก พอเช็คไฟล์หงษ์ก็อุทานว่า "เฮ้ยยยยย" แล้วเลยแซวว่า คนอื่นเขาส่งเทปฉลอง “ช่างคุย” ครบ ๒ ปีกัน ส่วนรายการ "เรื่องบ้านบ้าน" ของเราส่งเทปฉลองที่หายหน้าไปครบ 1 ปี! ว้า... แย่แล้วๆ ต้องขยันหน่อยแล้ววุ๊ เดี๋ยวจะโดนถอดออกจากผังรายการ ฮือๆๆ

Thursday, May 15, 2008

วงการนี้มันแคบจริงๆ

วันก่อนโน้นเราไปกินข้าวกับพี่ณัฐแล้วพอดีคุณ ชช. โทรเข้ามา เราเลยได้ฟังบทสนทนาแบบไม่ตั้งใจ จำความได้เลาๆ ว่า ไอ้หนุ่ยมีกิ๊ก เราเลยถามให้แน่ใจ ฟังผิดไปเดี๋ยว(ไอ้หนุ่ย)จะซวย พี่ณัฐเลยต้องคายออกมาว่า ไอ้หนุ่ยมีกิ๊กจริงๆ นั่นแหละ แถมเมียยังโทรมาเล่าให้คุณน้องเลขาฝ่ายของบริษัทมันฟังอีกตะหาก เราฟังแล้วอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจ เพราะไอ้หนุ่ยมันก็ดูเจ้าชู้อยู่ คราวนี้พี่ณัฐชักมัน เล่าเรื่องพี่วิลมีกิ๊กแถมให้อีกตะหาก แต่เราบอกเขาไปว่า เราไม่เชื่อเด็ดขาดว่า วิลสันผู้ซึ่งไม่เคยมีปฏิสัมพัทธ์กับใครเลยยกเว้นเรื่องงาน จะไปมีกิ๊กได้ ถ้าพี่วิลฯ มี ผู้ชายทั้งโลกก็มี แต่พี่ณัฐพูดกลับแล้วทำให้เราชักลังเลใจว่า "ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่มีหรือไม่มีนะ มันอยู่ที่รู้หรือไม่รู้ตะหาก" เราฟังแล้วเหวอไปเลย… โห… พูดแบบนี้เข้าทางป้าๆ ชัดๆว่า คานทองน่าอยู่กว่าเป็นไหนๆ เฮอะ…

แต่วันนี้ในห้องประชุม พี่วิลฯ ปล่อยมุขตลอด รับกันแทบไม่ทัน อารมณ์ดีอะไรจะปานนั้น แถมที่สำคัญ ความรู้ภาษาไทยพัฒนาไปมาก เราชักเชื่อแล้วดิว่า พี่วิลฯ มีกิ๊ก แต่พี่ณัฐบอกว่า พี่วิลฯ คงเริ่มคุ้นกับพวกเราแล้ว และโปรเจ็คมันก็เข้าที่เข้าทางมากขึ้น จนเขาคงรู้สึก Relax มากขึ้น เลยกล้าปล่อยมุข แต่เราก็ชักเอนเอียงแล้วล่ะว่า พี่วิลฯ อาจจมีกิ๊กจริง

ค่ำๆ เราโทรไปหานก (น้อง Interior) ตามที่มันมา sms มาบอก เพราะมันมีปัญหาในการทำงานมาก ต้องการที่ปรึกษาด่วน เราถึงรู้ว่า นกมีปัญหากับ Interior Designer ของบริษัท A อยู่ เฮดที่มาดิวด้วยชื่อ สทช. เราก็ขำก๊ากเลย แหม… ที่แท้เป็นตาต๊ะนี่เอง เลยแซวว่า นามสกุล บช. ด้วยปะ ไอ้นกกรี๊ดใหญ่เลย แหมโว๊ย วงการนี้มันแคบจริงๆ เราเลยอำนกไปว่า เราเคยเป็นกิ๊กกับต๊ะ แต่ตอนหลังต๊ะรู้ตัวว่าไม่ชอบชะนีเลยเลิกกับเราไปคบผู้ชาย นกเชื่อใหญ่เลย ๕๕๕… แล้วเลยเกรงใจไม่กล้าบ่นกิ๊กเรา แก้ตัวไปว่า ปกติไม่ค่อยได้ดิวกับต๊ะหรอก เพราะต๊ะใหญ่มากแล้ว นกจะดิวกับลูกน้องต๊ะมากกว่า แถมตั้งฉายาให้เสสร็จสรรพว่า "ทายาทอสูร" อีกตะหาก เราเลยบอกว่า "งั้นแกลองคิดดูดิว่า ตัวพ่อมันจะขนาดไหน ๕๕๕ แต่เดี๋ยวพี่จะช่วยคุยให้พ่อมันช่วยปรามทายาทอสูรก็แล้วกันนะ" คราวนี้นกเลยพร่างพรูไม่หยุดว่า โดนคอนซัลท์เจ้าหลักกลั่นแกล้งอีกตะหาก ไม่ให้กินน้ำของโครงการ ทุกวันนี้ต้องซื้อน้ำมากินเอง เราเลยแซวว่า "แล้วเขางดให้อาหารด้วยปะ ๕๕๕" เท่านั้นยังไม่พอ เขาไม่ให้แม่บ้านมาทำความสะอาดออฟฟิสมันด้วย มันต้องกวาดพื้นเอง โห… น่าสงสารแฮะ แต่มันก็กำลังใจดีบอกว่า "แต่หนูจะได้ผู้รับเหมาแล้ว เหตุการณ์คงจะดีขึ้น" แล้วเลยถามเราเรื่องเทคนิคการตรวจ Shop Drawing พอเราบอกว่า เราไม่สามารถแนะนำได้ เพราะเราไม่เคยตรวจ Shop เรามีเด็กๆ (อย่างตา ปส.) ตรวจให้ มันก็อุทานว่า "โห… แสดงว่าเจ๊ใหญ่มากเลยในไซท์ดิ" คราวนี้เราเลยต้องแก้ตัวพัลวันว่า ใหญ่บ้าอะไรวะ เจ๊น่ะเป็นอีเย็น ๑ เชียวนะ เฮ้อ… ความแตกเลยว่า เจ๊หญ่ายม่ายจริง เหอๆๆ…

Wednesday, May 14, 2008

มารยาทในการทำงาน

วันเสาร์ก่อนเราเรียกตา ปส. มาคุยเรื่องการ Circulation เอกสารที่ตัวมันเองเป็นคนเซท ซึ่งมันเป็นคนขอเปลี่ยนจากเดิมที่เราเซท เราก็โอเคยอมให้ เพราะถือว่าเป็นการ Accommodate ผู้ร่วมงาน แต่ไม่รู้มันสมองเสื่อมหรืออะไร จู่ๆ ก็มาเรียกเลขาฯ เราไปต่อว่า ว่าทำผิดโพรเซส เราเลยต้องเรียกมันว่าระลึกความหลัง พอมันจำได้แล้วว่า มันเป็นคนขอเปลี่ยนโพรเซส ก็ดั๊นไปโยนความผิดให้เลขาฯ มันว่า ไปแอบเปลี่ยนโพรเซสเอง แหม… ท่านเจ้าคุณค่ะ อีเย็น ๒ เอ๊ย ไอ้หนุ่มมันคงกล้าฝ่าฝืนคำสั่งของท่านเจ้าคุณหรอกค่ะ เฮียเลยหมดทางไป สุดท้ายหันมาต่อว่าเราที่เราไม่มีท่าทีเป็นมิตรสนิทสนมชิดเชื้อกับเฮียเลยซักกะนิด เราเลยพูดว่า "ผู้ร่วมงานกับเพื่อนไม่เหมือนกันนะคะ เราต้องทำงานกับแบบ Professional ค่ะ" เลยเป็นอันจบบทสนทนากัน แต่เฮียคงอารมณ์ค้าง เลยวีนแตกไปทั้งไซท์ ทำผู้รับเหมากระเจิดกระเจิงหมด ส่วนเราโดนป้าๆ ด่ากันใหญ่ว่าบ้าไปแล้ว เอถึงกับบอกว่า "หนิงใจร้ายวะ" เฮ้ย…. จริงเหรอ…

ตามมาด้วยเมื่อวันก่อน พี่ณัฐอยากจะขอดูภาพจากกล้องทุกตัวของฤทธา ตาช่างโอ๋บอกว่า "อย่าดูทุกกล้องเลยครับ ดูแต่กล้องที่ไซท์งานก็พอ เพราะกล้องในออฟฟิสจะส่องแต่หน้าผม คุณณัฐดู ก็จะเห็นแต่ภาพผมนั่งยิ้มอยู่" เราก็ปากไวพูดว่า “อย่างนั้นก็ไม่ค่อยน่าดูอย่างที่พูดจริงๆ นะคะ” แล้วก็หันมาพยักเพยิกกับคุณ ชช. จนเขาต้องสะกิดๆ แล้วพูดว่า “ปากจัดวะ” เราถึงรู้ตัวยอมสงบปากคำ

ก่อนกลับบ้านวันนี้เราเลยต้องแวะร้านหนังสือ เพราะเราคิดว่าเราจำเป็นต้องพึ่งหนังสือเล่มนี้แล้ววะ ก่อนที่จะกลายเป็นคนไร้มารยาทที่สุดในไซท์นี้ หนังสือเล่มที่ว่านี้ชื่อว่า "มารยาทในการทำงาน" แปลมาจากญี่ปุ่น งานนี้เราเลยเข้าใจแล้วว่า ทำไมมันถึงติดอันดับหนังสือขายดี เพราะคนมีมารยาทมันมีจำนวนน้อยนี่เอง ๕๕๕…

Saturday, May 3, 2008

ยุคข้าวยากหมากแพง

หมู่นี้เราได้ยินคนบ่นว่าข้าวของแพงขึ้น เพราะน้ำมันแพง แต่เราก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะป้าหน้าไซท์เราแกยังให้กับข้าวเราเยอะแยะเหมือนเดิม แถมยังแถมโน่นแถมนี่อยู่เรื่อยๆ เหมือนเดิม แต่วันนี้เรากลับบ้าน พอเห็นว่าข้าวในหม้อไม่ใช่ข้าวหอมมะลิ เราถึงกับร้องจ๊ากแล้วถามหมะว่า บ้านเราต้องประหยัดกันขนาดนี้เลยเหรอ แถมหุงแฉะๆ อีกตะหาก สงสัยเพราะใช่ข้าวถูก หมะแก้ตัวพัลวันว่า ไม่ใช่ที่บ้านไม่มีเงิน แต่ร้านข้าวสารเจ้าประจำเขาไม่มีข้าวหอมมะลิขาย เลยต้องกินข้าวแบบนี้ และที่หุงแฉะนี่เป็นการตั้งใจ เพราะเหวินเฉียงจะได้กินข้าวได้ง่ายๆ แหมโว๊ย… เอาใจหลายชายจริงๆ ปู่กับป้ามันเลยต้องทนกินข้าวแฉะไปด้วย

พอบ่ายแจ้มาแกะกล่องของฝากที่ให้เราช่วยหิ้วกลับมา (ของคุณพี่น้ำหนักเกินจนโดนปรับ เราเลยต้องหิ้วมาให้แทน เพราะปกติเราก็ไม่ได้โหลดของอยู่แล้ว) เหวินเฉียงมันก็เข้ามามุงด้วยทันที เราเลยได้ทีแก้แค้นใช้แรงงานเด็กซะเลย เพราะหมะนั่งห่างเราไปพอสมควร แล้วอยากเห็นของ เราเลยเอาถุงพุทธาแห้งให้มันแล้วบอกว่า "เหวินเฉียงเอาไปให้ผอผอดูนะ" มันรับถุงไปแล้ว ชะงักไปนิดนึง แต่ก็พยายามกระหย่องกระแหย่งยกไปให้หมะจนได้ แล้วก็นั่งตักหมะ ไม่มาหาเราอีกเลย เราเลยพลิกถุงพุทราดูถึงได้รู้ว่า ถุงนึงหนักตั้ง ๑.๕ กก. แน่ะ มิน่าล่ะ ไอ้เหวินเฉียงเลิกเลย ๕๕๕…

ตกเย็นหมะพาเด็กๆ ไปเที่ยวสวนสาธารณะ ฟ้าให้เอารถจักรยานใหม่ขึ้นรถปิคอัพไปฉลองรถด้วย ที่สวนฯ คนเยอะมาก ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่า เรายังอยู่ในภาวะบ้านเมืองไม่สงบ เดี๋ยวนี้มีคนทำธุรกิจระบายสีตุ๊กตาปูนปาสเตอร์ด้วย มุกเลยแยกตัวไประบายสีกับแจ้ ส่วนเราวิ่งรอกไปมาระหว่าง ๒ คุณหลานสาว เดี๋ยวให้เวลาไม่เท่ากัน จะมีการน้อยใจกันได้ กำลังเล่นกันเพลินๆ ก็มีคนมาสวัสดีหมะ เราว่าหน้าคุ้นๆ แต่พอเทียนเรียกชื่อเขา เราก็จำได้เลย โห… พี่โจ้เปลี่ยนไปเยอะมากๆ เลยนะเนี่ย (เขาก็พาลูกสาวมาเที่ยวสวนฯ) พอพี่โจ้เดินเลยไป เทียนก็พูดว่า "ดีนะเนี่ยที่ตอนนั้นหมะไม่ยกแจ้ให้พี่โจ้ ไม่งั้นตอนนี้ใครๆ คงนึกว่าแจ้มาเที่ยวสวนกับพ่อ" เราฟังแล้วอึ้งไปเลย ที่เขาว่ากันว่า อย่าไปคว้าดอกไม้ปลายสวน ที่แท้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง แต่เราว่า ถ้ามาขอตอนนี้ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ เพราะผีวิญญาณแม่เราแรงมั่กๆ ฮ้า…

ขาไปมีเรานั่งท้ายปิคอัพกับฟ้า (เพราะชีเห่อจักรยาน) ขากลับเด็กน้อย 3 คน นั่งท้ายปิคอัพหมด แล้วเล่นอ้าปากกินลมสนุกกันใหญ่ โดยมีเราเป็นหัวหน้าแกงค์ แหม… ลูกทุ่งจริงๆ เลยหลานชั้น… หุหุหุ….

Wednesday, April 23, 2008

หายนะ ๒

วันจันทร์นกให้เราถามเรื่องคดีคอนโดที่พี่อองวินกำลังฟ้องร้องอยู่ (เพราะพลัสฯ ก็เป็น ๑ ในเจ้าหนี้) เราเลยได้ทีบ่นไปว่า เราไม่มีที่พักที่ Lauceston ให้พี่น้ำพริกอ่องกังวลเล่น และต่อท้ายว่า อย่าลืมส่งรูปทริปจิ่วจ้ายโกวมาให้เราดูบ้าง พอวันนี้พี่น้ำพริกอ่องแวะเอาสำเนาโฉนดที่ดินที่จะฝากขายมาให้เรา เราเลยถือโอกาสขอดูรูปจิ่วจ้ายโกว เปิดมารูปแรกเป็นรูปผู้หญิงยืนยิ้มอยู่ เราถามว่า "Your wife?" คำตอบ คือ "Yes!" ฮือ… อิชั้นแทบอยากขว้างกล้องทิ้ง ถึงจิ่วจ้ายโกวจะสวย อิชั้นก็หมดรมณ์ดูแล้ววววว เฮอะ!

เช้ามา Unlucky In Love พอตกเย็น Unlucky In Game แทน เพราะฝนเทลงมาตอน ๖ โมงเย็น ซักพักนึงก็มีโทรศัพท์มาบอกว่า Showflat น้ำท่วม พอเราเข้าไป ก็แทบเป็นลม เพราะมันเปียก (รั่ว) ไปหมดทุกพื้นที่ ภาพเดียวกับคราวที่แล้วเลย มันเปียกไปทั่ว จนเราไม่รู้จะเริ่มต้นไหนก่อนดี และมันก็รั่วมาจากสาเหตุเดิม คือ น้ำฝนล้น Gutter เข้ามา แต่ที่น่าแค้นใจ คือ เราพึ่งจะให้คนไปกวาดหลังคา ๒ อาทิตย์ก่อนสงกรานต์ แต่ใบไม้ก็ยังไปปิด Floor Drain จนน้ำระบายไม่ทันเหมือนเดิม โฮๆๆ นี่เรามิต้องกวาดหลังคากันทุกอาทิตย์หรือเนี่ย… โฮๆๆ กำลังระดมงานมาถูพื้นอยู่ ก็มีคนมาบอกว่า ต้นไม้หน้าออฟฟิสล้ม เรารีบวิ่งไปดู กลัวต้นไม้ล้มทับรถ เพราะวันนี้มันซวยทั้งวัน แต่โชคดีที่ต้นไม้ล้มเข้ามาหาตัวออฟฟิส (ไม่ได้ล้มออก) กำลังยืนโล่งใจอยู่ หนุ่ยก็มาบอกว่า ต้นไม้ที่ล้ม มันล้มไปโดนห้องกระจก (ที่พวกเราชอบเรียกกันว่าห้อง Green House ของพี่เปิ้ล) กระจกแตกด้วย ตอนแรกเราจะช่วยหนุ่ยเก็บของ แต่พอดีก็มีคนมาบอกอีกว่าห้องทำงานคุณเบนน้ำท่วม เราเลยต้องย้ายไปเก็บของห้องคุณเบนแทน แล้วเลยนึกขึ้นมาได้ว่า แล้วบ้านคุณเบนจะน้ำท่วมไม๊วะ ก็พอดีคุณ ป.ภ. มาพอดี เขาบอกว่า ไม่ท่วม เขาวิ่งไปดูที่แรกเลย เฮ้อ… ค่อยยังชั่ว เราเลยรีบวิ่งไปเก็บของห้องคุณเบน เก็บอยู่ตั้งครึ่ง ชม. ทีมแม่บ้านของโรงแรมถึงมาถึง เราเลยอดค่อนขอดในใจไม่ได้ โห… นี่ขนาดห้องทำงานเจ้าของโรงแรมยังเซอร์วิสแย่ขนาดนี้ Showflat เราอย่าหวังเลยวะว่าเขาจะช่วย พอเห็นว่าทีมงานมืออาชีพมาแล้ว เราก็ย้อนกลับมาช่วยหนุ่ย แต่ภาพที่เห็น คือ ไอ้หนุ่ยนั่งพันแผลอยู่ เพราะเก็บของจนโดนกระจกบาดมือ โห… น่าสงสารจริงๆ

ส่วนในไซท์มีความเสียหายแค่อย่างเดียว คือ ต้นไม้ข้างบ้านล้มลงมาทับรั้วโครงการพัง อ้าว! เรานึกในใจ ฤทธาซวยหล่ะ ก็ First Deductible มันตั้ง ๒ แสนนิ สงสัยงานนี้จะไม่ได้เคลมแน่ๆ เลย เฮ้อ…

Sunday, April 20, 2008

Day X - Back to BKK






พวกเราออกกันแต่เช้า เพราะต้องแวะคืนรถก่อนด้วย แต่ก็ไปถึงสนามบินก่อนเครื่องออก ๒ ชม. กับ ๗ นาที พวกเราเลยรีๆ รอๆ ไม่กล้าเช็คอิน กลัวโดนด่าอีก แต่พอดี จนท. มากวักมือเรียก พวกเราเลยเข้าไปเช็คอิน แต่ไอ้บ้าคนนั้นดันส่งพวกเราต่อให้ จนท. อีกคน และก็เหมือนเดิม มันไม่ให้พวกเราเช็คอินอีกหล่ะ อ้าว แล้วมาเรียกทำไมวะ กำลังงงๆ อยู่ ก็พอดีเหลือเวลา ๒ ชม. พอดี คุณพี่เลยให้เช็คอิน เฮ้อ… ตรงเวลาจริงๆ เลยนะคะคุณพี่

ในสนามบินมีร้าน Duty Free อยู่ ๓ ร้าน เลยซื้อของกันนิดๆ หน่อยๆ ทิ้งทวนกันก่อนขึ้นเครื่องไปเมลเบิร์น และที่สนามบินเมลเบิร์นนี่เอง เราก็ได้ซื้อครีมรกแกะตามที่หมะสั่ง แถมได้ยี่ห้อตามที่บอกซะด้วย แต่ราคามันถูกกว่าที่หมะบอกเรามามาก เราเลยลังเลใจซื้อมาแค่ ๔ กระปุก และได้ไวน์มาให้พี่ณัฐกับริทซี่ เรียกว่าช้อปกันจนหยดสุดท้าย ส่วนปุ๊กอยากซื้อกระเป๋า แต่เราหักห้ามไว้ เพราะเราว่า ถ้าซื้อใบนี้ในราคาเท่านี้ สู้ไปซื้อ Ragazze ดีกว่า แล้วก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกลับ กทม.

๓ ทุ่ม เครื่องก็มาถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ แล้วปุ๊กก็มาส่งเราที่คอนโด เป็นอันจบทริปทัสมาเนียเที่ยวทรหด ๑๐ วันแต่เพียงเท่านี้ เฮ้อ… เที่ยวจนเหนื่อย…

ปล. เนื่องจาก Blogger อนุญาตให้โหลดรูปได้แค่ 5 รูปต่อครั้ง เราเลยรวมภาพขำๆ เก็บตก รวมถึงภาพตามคำขอเอาไว้ในวันนี้แทน ๕๕๕...

Saturday, April 19, 2008

Day IX - Salamangka Market






เช้าวันเสาร์ของโฮบาร์ทจะมีตลาดนัดชื่อ Salamangka Market พวกเราเลยไปที่นี่กันก่อน เป็นตลาดนัดเล็กๆ (เหมือนเทียบกับจตุจักร) เดินพอเพลินๆ แป๊ปเดียวก็หมด เราได้เสื้อยืดให้ ด.ช. ปองคุณ ๒ ตัว และของฝากเล็กๆ น้อยๆ ให้ป้าๆ ตอนเดินๆ อยู่ บังเอิญได้ยินคุณป้าคนนึงถามหาผลิตภัณฑ์ David Jones เรารีบตั้งใจฟัง เพราะถ้าหาครีมรกแกะให้หมะไม่ได้ เรากะจะซื้ออันนี้ให้แทน แต่ฟังที่แม่ค้าโฮบาร์ทตอบแล้ว เราเกือบขำก๊ากออกมา เพราะคุณน้าไม่รู้จัก David Jones อ่ะ โอ๊ย สงสัยว่า อิชั้นได้ซื้อครีมที่ Duty Free ให้หมะแน่ๆ แต่ที่ไม่พลาด คือ เราหย่อนโปสการ์ดให้เก๋ที่ตู้ฯ ในตลาด กะว่ากว่า จนท. จะมาเก็บไป ใบที่ส่งจากเมืองไทยก็ควรจะถึงมือเก๋แล้ว ๕๕๕…
พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ ปุ๊กเปลี่ยนใจไม่ไป Port Arthur แล้ว เพราะกลัวว่าจะขับรถกลับมาเติมน้ำมันไม่ทัน (แหม… มันต้องมีการแพลนนิ่งกันตลอดเวลาเลยนะเนี่ย) เลยเปลี่ยนแผนเป็นการเดินเล่นในเมืองแทน ปุ๊กบ่นอยากซื้อกระเป๋า แต่เดินไปเดินมา ดันไปสนใจรองเท้าแทน เรายุให้ปุ๊กซื้อรองเท้ายี่ห้อกบ เพราะเราว่า มันดีกว่ารองเท้าของ Williams Shoe ตั้งเยอะ แต่ก็ยุไม่ขึ้น เพราะรองเท้ายี่ห้อกบคู่ละ ๒๕๐ เหรียญ ป้าเลยไม่เห่อเหิม!

ป.ล. งานนี้เราเลยได้กิน Starbucks เราถึงรู้ว่าที่นี่เขาเรียก White Coffee ว่า Flat White โห… ป้าทนกินลาเต้นมเยอะโคตรๆ มาหลายวัน จนปุ๊กทนไม่ได้ที่กลิ่นนมมันแรงจัด แล้วหันไปใช้บริการ Expresso แทน ว่าแล้วเราก็ไม่รอช้า ซัดขนาด Tall มันซะเลย 3.30 เหรียญเท่านั้น แพงกว่าเมืองไทยนิดหน่อย แตไม่เป็นไร ป้ารับด้ายยยยยย…

Friday, April 18, 2008

Day VIII - Tahuae Airwalk





โชคดีไม่ได้มีกันบ่อยๆ เราอุตส่าห์ยอมเสียังค์เข้าสวน Tahune (ทัสมาเนียมีอุทยานฯ ๒ ข่าย ข่ายนึงเป็นแนวธรรมชาติ ที่เราซื้อบัตรเข้าแบบเหมาจ่ายไปแล้ว แต่อีกข่ายเป็นแบบมีเครื่องเล่นด้วย เช่น นั่งสไลด์ไปตามรางในรูปแบบต่างๆ คนจะเล่นต้องเสียตังค์ค่าเล่น ถ้าเราไม่เล่น ก็เข้าไปดูคนอื่นเล่น บวกเดินเล่นในสวนได้แบบไม่เสียสตางค์) แล้ว แต่ Swinging Bridge ๒ อัน ดันปิดปรับปรุง เหลือแต่ตัว Airwalk อันเดียวให้เดิน เรากับปุ๊กเม้าท์กันว่า ถ้าแบบนี้เขาน่าจะลดค่าเข้าให้เรานะ แต่ก็ได้แต่เม้าท์ ตัว Airwalk ก็น่าตื่นเต้นดี เพราะเขาทำเป็นสะพานให้เราเดินอยู่เหนือต้นไม้ แล้วเลยได้ชื่นชมรัฐบาลทัสมาเนียว่า เขาดูแลต้นไม้ดีจริงๆ ขนาด "Big Tree" ยังกลายเป็นจุดท่องเที่ยวได้เลย

ต่อจาก Tahuae ก็ไปต่อที่ Hazte Mountain (อันที่คุณป้าไม่ยอมให้เราประทับตรา และที่น่าแค้นใจไปกว่านั้น คือ ที่ทำการอุทยานฯ ไม่มี จนท. เราเลยไม่ได้ประทับตรา Hazte เฮอะ…) เราเลือกรูทที่เดินง่ายสุด คือไป Osborne Lake คราวนี้ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เดินด้วยอีกหล่ะ เดินกันแค่ ๓ คน รู้สึกเงียบเอามากๆ ตอนออกมาเราเจอฝรั่งอีก ๓ คน เดินมาจากที่เลคนึง ปุ๊กเลยขอเขาดูรูป เขาก็หากล้องกันใหญ่ แล้วเลยนึกขึ้นได้ว่าลืมไว้ที่ที่ทำการอุทยานฯ แหม… นี่ถ้าไม่เจอคณะเราชวนคุย เสร็จเลยนะเนี่ย… แล้วเลยรู้ว่าพวกเขามาจากเกาะออสเตรเลียหลัก เราถึงถึงบางอ้อว่า ถึงว่าดิ เราไม่เคยเจอนักท่องเที่ยวพูดภาษาอื่นๆ นอกเหนือไปจากภาษาอังกฤษเลย และสำเนียงก็ไม่อังกฤษหรืออเมริกาด้วย (นั่นดิ ใครจะตะกายนั่งเครื่องบินมาไกลขนาดนี้) อ้อ มีเจอญี่ปุ่นกับคนไทยอย่างละ ๑ คณะที่ Craddle เท่านั้น นักท่องเที่ยวที่เจอๆ ก็คงมาจากเกาะออสเตรเลียหลักนี่เอง

ก่อนกลับบ้านก็แวะ Supermarket ซื้อของกินกัน เราเลยถือโอกาสซื้อของฝากพวก Chocolate กับถั่วแคคาดาเมียด้วย เอ Message มาบอกว่า Chocolate ของ Cadburry ออสเตรเลียอร่อยที่สุดในโลก อร่อยว่า Cadburry ขอบยุโรปอีกตะหาก เราเลยซื้อกันใหญ่ เป็นอันหมดภาระของฝากไปพอจะนอนหงษ์ก็ message มา พอรู้ว่าเราอยู่โฮบาร์ท เลยเชียร์ให้ไปเที่ยว Port Arthur แถมเชียร์ทัวร์บ้านผีสิงด้วย แต่ปุ๊กอยากไปล่องเรือมากกว่า ส่วนเราไม่อยากไปไหนไกลๆ แล้ว เพราะเที่ยวมาหลายวันแล้ว เหนื่อยมาก แต่ที่น่าแปลกใจ คือ เราอยากกลับไปทำงานแล้วล่ะ!

Thursday, April 17, 2008

Day VII - Back to Hobart





ปุ๊กไปเช็คเอาท์แล้วมาบอกว่า คุณลุงผิดหวังผิดหวังที่เราไม่ได้ไปดูเพนกวินกัน แหม… นึกไม่ถึงว่าคุณลุงจะมีการติดตามผลขนาดนี้ ขอโทษนะค๊า… แล้วคราวนี้ก็ล้อหมุนไปอุทยานฯ Frecinet จริงๆ มีหาดสวยๆ หลายอัน น้ำใสเป็นสิมิลัน อากาศก็ไม่หนาวแล้ว แดดเปรี้ยงอีกตะหาก (ผิดกับฝั่ง Craddle Mountain สุดๆ) เราแวะไปดูจุดชมวิวกัน วิวสวยมาก แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ชาวคณะนั่งเครื่องบินเล็กชมวิวกัน ฮ้า… ระหว่างทางไปโฮบาร์ท เราเห็นคนขี่จักรยานอยู่ริมถนน ปุ๊กบอกให้เราถ่ายรูปไปให้พี่ณัฐดู แต่เราไม่ทำ เพราะกลัวพี่ณัฐเห็นรูปแล้วคลั่ง ลางานมาเที่ยว ๒ อาทิตย์ เราคงถึงตาย เลยได้แต่มุขกัน

มาถึงโฮบาร์ทตั้งแต่ ๕ โมง แต่เนื่องจากเราจะเช็คอินเร็ว ๑ วัน เลยตรงดิ่งไปที่ที่พักก่อน แต่ดันหาที่พักไม่เจอทั้งๆ ที่เราไปถูกตามแผนที่เป๊ะ สุดท้ายเลยตกลงว่าจะไล่ตามบ้านเลขที่ เพราะเราอยู่กันถูกถนนแน่นอน แต่ไล่ไปสุดถนนจนถึงไฟแดงที่ผ่านไฮเวย์เส้นนึงก็ยังไม่ถึง แต่ในที่สุด เราก็ไปถึงจนได้ และก็พบว่าแผนที่ผิดไปเป็นกิโล! แต่วิบากกรรมก็ยังไม่หมด เพราะเราไปถึงหลัง ๖ โมง พนักงานเลยกลับบ้านไปแล้ว เพราะมันเป็น Apartment ไม่ใช่โรงแรม เลยไม่มีพนักงานประจำ ๒๔ ชม. ฮ้า… อะไรกันวะ ในเวบก็ไม่เห็นบอก เรากำลังงัดโทรศัพท์ขึ้นมาโทรตามป้ายที่เขาเขียนไว้ ก็มีผู้หญิงคนนึงเดินมาถามว่าให้ช่วยอะไร และในที่สุดโชคดีก็มาถึง (บ้าง) เพราะชีสามารถเปิดห้องให้เราได้ และได้ห้องที่เราจองไว้พรุ่งนี้พอดี เฮ้อ… กว่าจะได้ที่พัก เล่นเอาหมดแรง หาโรงแรม (Apartment) ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน จนตกดินไปเป็น ชม. เหนื่อยจริงๆ เรากะว่ากลับไปเมืองไทยก่อน เราจะเมลล์ไปเม้งไอ้ Hotel Club หนอย… ชาร์จเราไปตั้ง ๒๐ เหรียญต่อคืน แล้วแผนที่ยังผิดอย่างร้ายกาจอีก ไม่สามารถให้อภัยได้จริงๆ นะเนี่ย ฮึ่ม!
แต่ก็ชดเชยด้วยดินเนอร์อร่อยๆ เพราะเย็นนี้กับข้าวอร่อยเอามากๆ เนื่องจากว่าปุ๊กไม่ยอมกินผักหรือไข่เจียวที่ผัดจากเนยแล้ว แทบยังซื้อน้ำปลาขวดใหญ่อีกตะหาก พี่รัตน์เลยได้แสดงฝีมือย่างเต็มที่ เราเลยกินข้าวไป ๒ จาน ฮ้า…

Wednesday, April 16, 2008

Day VI - Freycinet National Park






สถานที่ที่จะไปออกเสียงว่า เฟรซิเน่ แม้ว่ามันจะลงท้ายด้วยตัวที (T) ก็ตามที ซึ่งคุณป้าที่ National Park บอกว่า มันเป็นภาษาฝรั่งเศสน่ะ Frecinet กินอาณาเขตหลายเมือง และเป็นอุทยานฯ แนวทะเล หลังจากที่เราเที่ยวภูเขามาหลายวัน ก็ขอเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง และเพื่อให้พรุ่งนี้สามารถเข้า Hobart ไม่สายมาก เรากับปุ๊กเลยตกลงว่าจะค้างกันที่เมือง Bichino แต่จาก Lauceston มาเมืองนี้ ก็ขับกันหลาย ชม. อยู่ จนเที่ยงก็ยังไม่ถึง เลยหา Lake เพื่อแวะกินข้าว (ทัสมาเนีย Lake เยอะมากกกกก) สุดท้ายก็ได้มาอันนึง ต้องขับแยกออกมาจากถนนสายหลักนิดหน่อย แต่ที่สำคัญ คือ บรรยากาศน่ากลัวมาก ยังกับ Sleepy Hollow ตอนแรกเรากะไม่กินแล้วนะ แต่พอเห็นว่า น่ากลัวขนาดนี้ก็ยังอุตส่าห์มีคนมาตั้งแคมป์อีก มันคงโอเคแหละ เลยแวะกินข้าวเที่ยงกัน
พอถึง Bichino ปุ๊ป ก็แวะ I ก่อนเลย เพราะเรายังไม่มีที่พักกัน คุณป้า I แนะนำให้ไปพักที่ Motel นึง ซึ่งเป็นแนวตู้คอนเทนเนอร์ แต่มีครัว ตอนแรกปุ๊กทำท่าลังเล เพราะรู้สึกว่ามันเหมือนตู้ตามไซท์ก่อสร้าง แต่เราบอกให้ทนเอาหน่อย เพราะแค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็จะได้นอนใน Apartment ใน Hobart ที่เราจองไว้แล้ว ตอนเข้าไปจ่ายเงินที่พัก ปุ๊กสังเกตว่าในโบว์ชัวร์เขามีสถานที่ที่เรียกว่า Blow hole เลยขับไปดูกัน เพราะก็อยู่ใกล้ๆ (เมืองเล็กนิดเดียว กระพริบตา ๒ ที ก็ขับเลยเมืองแล้ว) ปรากฎว่า เป็นสถานที่ที่น่าสนใจมาก มันเป็นที่ๆ น้ำทะเลสาดมาโดนหิน แล้วกระเด็นเป็นฟองใหญ่ๆ ให้คนกี๊บก๊าบกันใหญ่ พวกเราถ่ายรูปกันใหญ่แบบต้องรอจังหวะให้น้ำทะเลฟู่ๆ เป็นก้อนใหญ่ๆ สนุกกันพอแล้ว ก็ไป Water Hole
Water Hole เป็นเหมือนบ่อน้ำผุ น้ำใสมาก แต่แม่ไม่ยอมเดินไปจนถึง เพราะบรรยากาศระหว่างทางดูวังเวงไปหน่อย แถมไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย (ผิดกับทุกที่ๆ เราไป มีนักท่องเที่ยวตลอด ดูอย่างไอ้เลคเมื่อตอนเที่ยงดิ) เลยถ่ายรูปกับแป๊ปนึง ก็กลับ
กลับมาที่พัก ทุกคนเข้าครัวกัน (ดูๆ ไปมันก็โอเคนะ ไม่เลวร้ายเหมือนไซท์ออฟฟิสซะหน่อย) ส่วนเราออกไปถ่ายรูป เพราะขากลับเห็นฟ้าสวยดี และก็ไม่ผิดหวัง มีเมฆหน้าตาเป็นแมนต้าด้วย หุหุหุ… ตอนก่อนออกไปถ่ายรูปเราถามคุณลุงเจ้าของที่พักว่า จะไปดูเพนกวินตอนกี่โมงดี คุณลุงบอกให้ไปตอนทุ่มนึง และห้ามใช้แฟลชถ่ายรูปเพนกวิน เพราะมันไม่มีหนังตา เลยกระพริบตาไม่ได้ และห้ามเอาไฟฉายส่องด้วย เพราะเพนกวินโดนแสงมากๆ ตาอาจบอดได้ ฮ้า… แต่พอเราเดินไปดูที่ดูทางแล้ว ก็เปลี่ยนใจไม่ไปดูเพนกวิน เพราะทางลงมันก็มืดๆ เป็นหินอีกตะหาก เผลอๆ อิชั้นอาจกลิ้งตกทะเล และจุดที่เพนกวินขึ้นก็ห่างไป ๒๐๐ เมตร มันจะตัวเท่ามดไม๊ฟระ ถนอมตัวไว้ดีกว่าเรา…