Saturday, March 31, 2007

เมื่อฉันไปงานเลี้ยงรุ่น

เราไปถึงงานตอน ๖.๔๕ น. แต่งหน้า-ไดผมเรียบร้อย (แต่ยังเขียนขอบตาแบบธรรมดาอยู่) เพราะเดี๋ยวถ้าเจอโจทย์เก่า มันจะได้ไม่นึกดีใจที่ไม่ได้ลงเอยกับเรา เพราะพอเวลาผ่านไป เราได้กลายเป็น "ป้า" จริงๆ และพอไอ้โจ้เห็นหน้าเราก็ทำหน้าดีใจมากๆ แต่ที่แท้เป็นเพราะเพื่อนๆ มากันน้อยมาก เพราะขนาดเรายังเป็น Top ๒๐ เลยอ่ะ (นี่มันจะทุ่มนึงแล้วนะ) เลยให้หวั่นๆ ใจว่า จะมากันถึง ๕๐ คนไม๊เนี่ย แต่คราวที่แล้วมากันเยอะนะ จำได้ว่ามากันตั้งเกือบร้อยคนแหนะ สุดท้ายก็มากันแค่ ๕๐ คน เลยต้องเก็บเงินกันเพิ่มอีกรอบเพราะคนมาน้อย ดีนะเนี่ยที่รายได้มากๆ กันแล้ว นี่ถ้าพึ่งเรียนจบ สงสัยไอ้โจ้จะโดนรุมตื้บ ส่วนสาวๆ มากันแค่ ๓ สาว (เป็นสาว-สาว-สาว เชียว) คือ เรา, ปุ๊ก และจิ๋ม จึงสรุปได้ว่าอัตราโสดของสาววิศวะเท่ากับ ๖๖.๖๗% นับว่าสูงมั่กๆ ; p

หลังจากนั้นก็มีการวิเคราะห์ไปต่างๆ นาๆ ว่า ทำไมคราวนี้เพื่อนๆ ถึงมาน้อย ทำยังกับกว่าจะเก็บไปปรับปรุงในการจัดงานครั้งต่อไปงั้นแหละ สุดท้ายเลยแซวกันกว่า ถ้ามากันขนาดนี้ คราวหน้าจัดตามคาราโอเกะก็พอ แถมยังสำทับว่า อย่าไปบอกพวกที่ไม่มานะ เพราะถ้ามากันเยอะๆ พวกเราจะได้ร้องเพลงกันแค่คนละไม่กี่เพลง เดี๋ยวไม่สนุก ฮา…

ในงานมีของมาแจกด้วย เป็นของที่โจ้ซื้อมาบ้าง และเป็นของที่หมูบริจาคให้บ้าง (สงสัยว่าของจะมาจากร้านของอ้วน ไม่รู้ว่าหมูเม้มของเมียมาแจกรึป่าว) ซึ่งที่จริงต้องจับฉลากแจก แต่เนื่องจากมากันแค่ ๓ สาว พวกเราเลยได้สิทธิ์ออกไปจับฉลากแทน เราจับได้ฉลากที่เขียนว่า "โม่วิเศษ" เราก็งงๆ หันไปถามโจ้ว่า มันคืออะไรฟะ ไอ้โม่วิเศษเนี่ย โจ้ก็งงๆ หยิบฉลากไปอ่าน แล้วมันก็ขำใหญ่ เพราะจริงๆ แล้วในฉลากเขียนว่า "ร่มวิเศษ" ตะหาก เรางี้อายเชียว มันจะเฟอะอะไรขนาดนั้น ภาษาวิบัติสุดๆ จริงๆ ตอนเราถามโจ้ โจ้คงนึกในใจว่า มีด้วยเหรอวะไอ้โม่ง-ไอ้โม่อะไรเนี่ย กูเป็นคนทำเรื่องของขวัญแท้ๆ ทำไมไม่เคยได้ยินเล๊ย เฮ้อ… ป้าจริงๆ เลยเรา…

และแน่นอน งานเลี้ยงรุ่นก็ย่อมต้องมีการเลือกประธานรุ่น ซึ่งก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้โจ้ เลยทำให้พิธีการเลือกประธานรุ่นดำเนินเสร็จโดยเร็ว นี่ถ้าเล็กอวบมา สงสัยจะยาว ; ) แล้วก็ให้แนะนำตัวกันว่า ตอนนี้ใครทำอะไรอยู่ ที่เด่นที่สุด (ในความคิดของเรา) คือ นิพนธ์-แฟนเก่าเรา เพราะเฮียทำงานที่ BMW มีหน้าที่เลือกรถที่จะนำเข้ามาขาย เพื่อนฝูงงี้กี๊บก๊าบขอส่วนลดกันใหญ่ เฮอะ… ชาตินี้ชั้นไม่มีวันขับ BMW แน่นอน!

ยังงัยเราก็ชอบไปงานเลี้ยงรุ่นนะ (สงสัยจะเป็นเพราะแก่แล้ว) เพราะว่าได้ไปเจอเพื่อนฝูงเก่าๆ รู้ว่าแต่ละคนเป็นงัยกันบ้าง ซึ่งก็จะคุยแต่เรื่องดีๆ นั่นแหละ ก็อย่างที่หงษ์ว่า จริงๆ ทุกคนก็มีเรื่องเครียดๆ ของตัวเองกันทั้งนั้น เพียงแต่มันไม่สนุกที่จะเล่า เลยเลือกคุยแต่เรื่องขำๆ กัน แต่เอาเข้าจริงๆ เราก็คุยได้ไม่กี่คนหรอก เพราะคุณต๊ะโทรหาเราตลอด แบบว่าขอกำลังใจ เพราะเฮียต้องไปเจอหน้ากิ๊ก เออ… เอาเข้าไป แต่เอาวะ ทำบุญกับคนอกหัก เพื่อผลบุญมันจะส่งเราในด้านคู่บ้าง หลังจากที่ทำโครงการฯ ช้าตลอด จนว่าที่เจ้าบ่าว-เจ้าสาวต้องโทรมาเร่งงานกับเรา เพราะเรือนหอสร้างไม่เสร็จซักกกกกที…

Thursday, March 29, 2007

อกหักเมื่อแก่ ใครว่าทำใจง่าย

จู่ๆ ต๊ะโทรหาเราตอน ๓ ทุ่มกว่า เรางี้ตกใจหมด เพราะน้ำเสียงเขาเครียดๆ ยังงัยพิกล คุยไป-คุยมาเฮียเลยสารภาพว่า โดนกิ๊กทิ้ง เลยเหงาโคตรๆ เราก็บอกว่า ก็กลับไปหาแฟนดิ แต่ต๊ะบอกว่า พึ่งเลิกกับแฟน เพราะตั้งใจจะอัพเกรดกิ๊ก ๔.๐ มาเป็นแฟน ๑.๐ ตอนนี้เลยเสียปลาทั้ง ๒ ตัว เราเลยหัวเราะก๊ากแล้วบอกว่า "บาปกรรมสมัยนี้มันตามทันเร็วได้ใจจริงๆ" ก็แหม… ก็ปูนนี้แล้ว คงไม่ต้องการคำปลอบใจหรอกมั๊ง แต่ที่ไหนได้ ต๊ะกลับพูดยิ้มๆ ว่า "นี่ถ้าพูดแบบเห็นหน้ากัน จะตบให้คว่ำไปแล้ว ไม่ขำเฟ้ย" แล้วเลยต้องมีอาการตบเราคว่ำอีกรอบตอนที่เราชมว่า กิ๊กคุณต๊ะทันสมัย-อินเทรนด์ดีจัง เพราะชีทิ้งตาแก่อย่างต๊ะไปควงเด็กหนุ่มอายุ ๒๐ ปลายๆ ฮ้า… ข้าน้อยขอคารวะ

ก่อนวางสายเราสัญญากับต๊ะว่าจะพยายามโทรหาต๊ะบ่อยๆ เพราะงานเราก็ดันมางานเยอะโคตรๆ ช่วงนี้พอดี เฮ้อ… อกหักตอนแก่เนี่ย มันก็น่ากลัวเหมือนกันนะ

Tuesday, March 27, 2007

ดินเนอร์กับรุ่นใหญ่

พี่เอชวนเรากินข้าว บอกว่าจะนัดพี่นกให้มาด้วย แต่พอเราไปถึงก็พบว่ามีคุณยุ้ยอยู่ด้วย แต่ไม่มีนุ้ยกับซือ เราแซวๆ พี่เอว่า นี่จับเราเข้า league บนแล้วเหรอ แต่ทุกคนก็ดูเหมือนเดิมหมด ยกเว้นพี่นกที่ดูอ้วนขึ้นนิดหน่อย แต่พี่นกก็คุยว่า "แต่พี่เล่นโยคะนะคะ เพราะฉะนั้นจะเฟิร์มมาก ขอโบกกก"

เรื่องที่คุยเลยเป็นเรื่องงานซะเป็นส่วนใหญ่ แถมเราเลยได้ฟังคุณยุ้ยพร่างพรูเรื่องความร้ายกาจของซูสีไทเฮากับองค์หญิงน้อยกลอยใจ ฟังแล้วเลยตัดสินใจได้ว่า ยังงัยก็ไม่กลับไปพลัสฯ หรือแสนฯ แน่นอน เพราะเราทนคนแบบนี้ไม่ได้อ่ะ แต่เราก็คงไปรบกับเขาไม่ได้ เพราะเขาก็หญ่ายจริงๆ ส่วนพี่เอบอกให้เราพิจารณา "อนันดา" เพราะเจ้าของเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง-ตั้งใจทำงานมาก แถมหล่อและโสดอีกตะหาก จัดได้ว่ามีครบทั้ง ๓ สมบัติ อันได้แก่ ทรัพย์สมบัติ, คุณสมบัติ และรูปสมบัติ เสียแต่ว่าเขาดันจ้างนังเจี๊ยบไปเป็น VP ด้าน Finance แล้วอะดิ เราเลยเซ็งเลย คิดไปคิดมาเลยบอกพี่เอว่า "งั้นหนิงทำตัวเป็นนางมารร้ายดีกว่า option กำจัดไอ้คนใหม่ที่จะมาแทนหนิงดูจะง่ายสุดและเวิร์คสุดแล้ว" แต่พี่เอบอกว่า "แค่หนิงเป็นตัวของตัวเองก็พอแล้วจ๊ะ" แป่ววววว… แล้วพี่เอก็แซวเราว่า ว่างๆ พี่เอจะไปเตือน Owner ให้ทำตัวดีๆ กับเรา อย่าเรื่องมาก เพราะเราไปเป็น PM ที่ไหน ก็เป็นอันที่ Owner จะโดนเรา terminate อยู่ร่ำไป Barama Bay นับเป็นรายที่ ๓ แล้ว เราฟังแล้วขำกลิ้ง เลยนึกขึ้นได้ว่า เออใช่ Barama Bay ไม่ใช่รายแรกซักหน่อยที่โดน CM บอกเลิก ที่จริงเราลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้วนะเนี่ย แต่พี่เอบอกว่า เขาไม่ลืมหรอก เขายังเก็บอีเมล์ฉบับที่เราเขียนไปด่า Owner ไว้อยู่เลย ฮ้า… ส่วนเราลบมันไปตั้งชาติไหนแล้วก็ไม่รุ คิดแล้วก็เขินเหมือนกัน เลยบอกพี่เอว่า ตอนนี้เราโต(แก่)แล้ว มันจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นอีกแล้ว เดี๋ยวนี้เรายอมลงให้คนอื่นๆ ตั้งเยอะแล้ว จริงๆ นะ เพราะไม่อย่างนั้นเราคงฉะเจ๊ ศ. ไปนานแล้วล่ะ

Saturday, March 24, 2007

วันเกิดน้อง(ที่)รักของป้า

ความที่น้อง Ritz รูปหล่อ เลยมักจะมีคนมาถามเรื่องส่วนตัวของน้อง Ritz อยู่บ่อยๆ ทั้งเพศหญิง (อันนี้พอเข้าใจได้) และเพศชาย (อันนี้ป้าไม่เข้าจายยยย) และด้วยความที่เรานั่งโต๊ะติดกับ Ritz เราเลยรู้เรื่องมากกว่าใคร เพราะตั้งใจแอบฟังทุกครั้งไป หุหุหุ… และเลยรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดน้อง Ritz Biscuit ก็ขออวยพรให้มีความสุข รอดพ้นปากเหยี่ยว-ปากกา-ปากป้า และปากลุงนะค๊า…

Friday, March 23, 2007

โดนหัวเราะเยาะ

วันนี้ยุ่งโคตรๆ กว่าเราจะได้กินกระเพราไก่ไข่ดาว (ให้ตายเหอะ ทำไมต้องดันมากินกระเพราไก่วันนี้ด้วยฟะ) ที่เราฝากเมย์ซื้อมาตั้งแต่มื้อกลางวันก็ปาเข้าไป ๔ โมงกว่า พึ่งจะตักเข้าปากไปได้แค่ ๒ คำ Edward เลิกประชุมพอดี เลยเดินมาขอเอกสารกับเรา พอมันเห็นภาพเรากินข้าวกล่องโฟมอยู่ที่โต๊ะทำงาน มันก็อมยิ้มแล้วพูดว่า "Khun Ning, it's Friday evening!" เรางี้อายซะ… เฮ้อ… เย็นวันศุกร์ดั๊นมานั่งกินข้าวกล่องโฟมที่โต๊ะทำงาน แถมเป็นข้าวมื้อเที่ยงอีกตะหาก ชาตินี้จะได้แต่งงานไม๊เนี่ย…

Thursday, March 22, 2007

ผู้ต้องสงสัยคยใหม่

เราก็แหม่งๆ ในใจว่า ทำไม๊ ทำไม ตาพี่ พพ. ถึงได้มีอะไรบางอย่างคล้ายๆ กับพี่ พส. - เกย์เฒ่าผู้โด่งดังในวงการอสังหาฯ ที่เรารู้จัก (มีลูกชายห้ามให้ชื่อขึ้นด้วย "พิ" เชียวเน้อ…-_-") แต่เราก็คิดว่า เราคงคิดมากไปเอง แต่พอมาวันนี้เราชักไม่แน่ใจ เลยให้สงสัยว่าประสิทธิภาพ "Gaydar" ของเรามันดูจะถดถอยไปมาก รึว่าหมู่นี้มันไม่ค่อยได้ใช้ฟะ??? ก็วันนี้จู่ๆ ตอนจะประชุมโปรเจ็ค ตาพี่ พพ. ก็บอกว่า "ผมขอนั่งข้างคุณ Ritz" เหอะ เราจะยอมได้งัย เลยบอก(ไล่)เฮียอย่างสุภาพว่า เฮียเป็นซีเนียร์แล้ว สมควรนั่งกับ PM เรา ส่วนตำแหน่งเล็กๆ อย่างเรากับ Ritz ต้องนั่งด้วยกัน เพราะต้องทำ minutes คู่กัน พอประชุมๆ ไปซักพัก เฮียก็สะกิดให้เราดูนังคุณพอลอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็พาลหาเรื่องคุณ ศ. - วิศวกรสาวเครื่องกลตลอดเวลา (หลังจากที่เมื่อวานก็รวนลูกน้องของคุณ ศ. ในประชุมไซท์ตลอด) แถมยังบอกอีกว่า สะใจดีที่ได้แกล้งคุณ ศ. (น้าน… เอาเข้าไป เมื่อวานยังไม่สะใจอีกรึคะคุณพี่ -_-") พอเลิกประชุมเราไปกินข้าวกับพี่ณัฐ เราเลยเม้าท์ให้พี่ณัฐฟัง แล้วเลยแถมท้ายว่า เรารู้สึกว่า พี่ พพ. คล้ายพี่ พส. พี่ณัฐเลยถึงบางอ้อ เห็นด้วยกับเราทันที แล้วก็เม้าท์เสริมว่า มิน่าล่ะ แกก็สงสัยว่า ทำไมพี่ พพ. ต้องชวน Ritz ไปดูงานโน่นนี่ด้วยทั้งๆ ที่เป็นงานที่อยู่ในสโคปของเรา แล้วเลยบ่นๆ ว่า ทำไมผู้ชายโครงการนี้เป็นอย่างนี้กันหมด จ้องแย่งน้อง Ritz กันสุดฤทธิ์ เราเลยบ่นต่อว่า นี่ถ้าเราเปิดเพลง I will survive ในห้องประชุม สงสัยผู้ชาย 80% ของโครงการลุกขึ้นมาเต้นกันหมดแน่ พี่ณัฐก็ขำใหญ่ แต่เราละเซ็ง เฮอะ! ทั้งโครงการมีแต่ผู้ชายแต่งงานแล้วกับเกย์ แถมยังจะจ้องน้อง Ritz Biscuit ของเรากันทุกคนอีกตะหาก เฮอะ! ข้ามศพป้าไปก่อนเถอะยะ!

ขอแถมเรื่องสะใจต่ออีกเรื่องนึง ครือว่า… เนื่องจากไอ้ระบบ ftp ที่ล่มสลาย คุณพี่วิลเลยสรุปว่า ในช่วงแก้ไข-ปรับปรุงระบบ ให้ยัยเลขาฯ โครงการ load ไฟล์ทั้งหมดให้เรา หุหุหุ… พนันได้เลยว่า ถ้ายัยนี่รู้เรื่องเข้า รับรองกรี๊ดแตก หางานใหม่ทำแน่นอน แหม… บอลเข้าเท้าป้าเต็มๆ เลยนะเนี่ย… หึหึหึ…

นกแวะมาหาลูกค้าแถวไซท์เรา เลยถือโอกาสกินข้าวกัน ซักพักนึงนกก็นึกขึ้นได้ว่า วันนี้เป็นวันเกิดพี่เมธา เลยรีบหยิบมือถือมาส่ง message เราเลยได้ทีส่งด้วย (ต้องประจบไว้ เผื่อต้องกลับไปตายรัง วงการอสังหาฯ ยิ่งแคบๆ อยู่ด้วย) และเพื่อความปลอดภัย ก็ลงชื่อตัวเองไว้ใน message ด้วย เพราะไม่แน่ใจว่าพี่เมธาจะลบชื่อเราออกจาก memory หรือยัง และก็เป็นไปตามคาด พักใหญ่กว่าพี่เมธาจะตอบกลับขอบคุณเรา เพราะแกคงงงอยู่เป็นนานว่า ใครส่งข้อความมาฟะ แป่วววววว…

Wednesday, March 21, 2007

ผ้าไหมเจ้าปัญหา

เมื่อวานฝนตกหนัก เลยได้รู้ว่าออฟฟิสที่เรานั่งอยู่มันรั่ว น้ำไหลนองมาเต็มห้องเก็บของท่วมผ้าไหมของ Owner ที่ฝากไว้ในห้องเก็บของของออฟฟิสเราอีกตะหาก เราก็หวังดีให้ป้อมโทรไปบอกเขาให้แจ้งแผนกแม่บ้านของโรงแรมให้เอาไปซัก แต่ยัย Owner (เลขาฯ โครงการ) ไม่ยอม บอกให้ป้อมเอาผ้าไปตากแดดแทน แหม… คุณน้องค่ะ ผ้าไหมยาว ๒๐-๓๐ เมตร หน้ากว้างตั้งเกือบ ๒ เมตร แถมเปียกหมดทั้ง ๓ ม้วน จะให้อิชั้นเอาไปตากตรงไหนดีค่ะ แผ่มันให้เต็ม Timber Walkway ที่ยาวร่วม ๒๐๐ เมตร ของโครงการเลยดีไม๊คะ หรือจะแผ่ให้เต็มลาน ๗ ไร่ ของโครงการฯ ของเราดี งานนี้เราเลยต้องออกแรงโทรไปหาเองอีกครั้งว่า ต้องส่งไปซักเท่านั้น หรือจะให้เราขายทิ้งดี ยัยนี้เลยต้องไปปรึกษาคุณ ชช. เจ้านาย สุดท้ายก็พบว่า มันเป็นผ้าไหมที่จะต้องใช้ในการปรับปรุงห้องอาหารของโรงแรม เลยสรุปให้เราส่งไปซักได้ เฮ้อ… service mind ช่างสูงจริงๆ เลยนะคะคุณน้องขา เดี๋ยวป้าใจร้ายแถวนี้ก็ปล่อยให้ผ้าไหมเน่ามันซะเลย…

Tuesday, March 20, 2007

ไม่รักไม่ได้แล้ว...

เดือนที่แล้วเราคุยกับน้อง Ritz Biscuit ว่า เราไปดู Music & Lyrics มา ซึ่งน้อง Ritz ที่รัก ก็ไปดูมาเหมือนกัน (สงสัยว่าจะไปดูกับ "ว่าที่แฟนสาวสวยโคตรๆ ขนาดเป็นนางแบบนิตยสาร Fin ได้") แล้วเลยขำๆ เพลงในเรื่องกัน เราเลยแซวว่า Ritz ไม่น่า(เกิด)ทันเพลงยุคนั้นนะ พอมาวันนี้ Ritz ถามเราว่า อยากได้ Sound Track ของเรื่องนี้ไม๊ เขามี MP3 เราเลยปลื้มสุดๆ โถ… พ่อคุณจำได้ด้วยรึนี่ว่าป้าชอบอะไรบ้าง รูปก็งาม น้ำใจก็งาม ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นลูกคนเดียว ทำไมช่างเอาใจใส่คนอื่นๆ ได้ดีขนาดนี้ และแล้ววันนี้ก็มาส่งเราที่บ้านอีกแล้ว เฮ้อ… ไม่รักไม่ได้จริงๆ นะเนี่ย… ^_^

Saturday, March 17, 2007

อัดรายการเรียนเมืองนอกกับนก

มีแฟนๆ ขอมาว่าอยากได้คนที่ไปเรียนที่เดนเวอร์ เราเลยส่งนกเข้าประกวด (ตัดหน้าตาสุทินไปได้ทันท่วงที) วันนี้เลยนัดนกมาอัดรายการที่ไทปิง เราเลยได้มีโอกาสฟังเรื่องคุณ Bill Danial เป็นครั้งแรก ฟังแล้วน้ำตาแทบไหล ซึ้งสุดๆ เลยให้นึกถึงคำคมที่ว่า "เมื่อพระเจ้าปิดประตู ท่านมักจะแอบเปิดหน้าต่างไว้ให้เสมอ" คนเรามันต้องขวยขวายดิ้นรนจริงๆ นะ จะมานั่งรอโชคไปวันๆ ได้งัย…

แล้วเลยนั่งคุยกันต่อกับหงษ์กับ ๒ นกว่า พี่ณัฐจะส่งเราไปภูเก็ตอีก ประหนึ่งว่าดวงโยกย้ายเรายังไม่จบสิ้น ขนาดพี่เอที่ว่าเป็น Advisor ดีเด่นของเรา ยังไม่สามารถแนะนำเราได้ ไล่ให้เราไปพึ่งหมอดูแทน หงษ์เลยย้ำว่า ใช่ๆ ที่เคยพูดว่า เวลานี้ของปีที่แล้ว เรายังไม่รู้เลยว่าชีวิตเราจะพลิกผันไปทางไหน มันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ชีวิตเรานี่ต้องติดตามใกล้ชิดจริงๆ เร็วยิ่งกว่าละครช่อง ๓ แต่เราก็ตัดสินใจในเรื่องไปภูเก็ตได้แล้วว่า ไม่ไปแน่ เพราะแจ้อาจจะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ในอีก ๓-๔ เดือนข้างหน้านี่ ซึ่งก็แปลว่า แจ้ต้องมาเริ่มทำธุรกิจตอนอายุ ๔๐ มันจะล้มเหลวไม่ได้เลยนะนั่น เราไม่รู้ว่าว่าเราจะต้องลาออกจากงานมาช่วยแจ้ หรือว่าจะมาดูเด็กๆ หรือว่าจะต้องกลับไปทำงานที่ยะลาแทนแจ้กันแน่ เลยตัดสินใจได้แน่ๆ ว่า ไม่ไปภูเก็ตแน่ เฮ้อ… ใครว่าชีวิตเป็นของเรา…

Wednesday, March 14, 2007

จะเปิดตัวโครงการฯ สงกรานต์นี้จริงๆ เหรอคะ?

แค่เรื่องสีทาภายนอกเรื่องเดียว อิชั้นซัด SI ไป ๔ ฉบับ ตกลงกรูจะได้ทาสีตึกไม๊เนี่ย… ก็แหม… คนโน้นจะเอาอย่างนี้ คนนี้จะเอาอย่างนั้น แต่ที่แน่ๆ พี่รอสก็แสบน่าดู มีการเมล์มาประชดประชันคุณเบนผู้น่ารักของเราได้ ก็เรื่องของเรื่องเริ่มมาจาก คุณเบนไม่ชอบสีเทาที่คุณพี่รอส-อาร์คิเตทหญ่ายเลือก หลังจากที่ผู้รับเหมาผสมเฉดสีไปมาอยู่ ๑๐ รอบ ตามด้วยการพ่นเม็ดทรายขนาดต่างๆ กันกว่า ๑๐ รอบ เช่นกัน จนได้เฉดสีและขนาดเม็ดทรายตามที่พี่รอสต้องการได้เป็นผลสำเร็จ ใช้เวลากว่า ๑ เดือน ในการสรุปเพื่อให้อิชั้นออก SI ฉบับที่ ๑ แจ้งเรื่องการทา(พ่น)สีภายนอกอาคารได้ แต่พอพ่นไปได้เกือบแผงนึง คุณเบน-เจ้าของโครงการก็มาขอเปลี่ยนเป็นสีขาว ส่วนผนังที่มีการพ่น Texture ไปแล้ว ก็ปล่อยไป ให้ทาสีขาวทับไปธรรมดา อิชั้นก็ออก SI ฉบับที่ ๒ ไปแจ้งผู้รับเหมา พอเราแจ้งให้พี่รอสรู้เรื่องด้วย เฮียก็วีนแตกสุดฤทธิ์ บอกว่าจะเลือกสีใหม่ อิชั้นก็ต้องออก SI ฉบับที่ ๓ ไปแจ้งผู้รับเหมาว่าให้รอการแจ้งสีใหม่อีกครั้ง แต่สุดท้ายพี่รอส-อาร์คิเตทหญ่ายก็ต้องพ่ายแพ้ต่อคุณเบน-โอนเนอร์หญ่าย(กว่า) ตามหลักสัจธรรมที่ว่า ยังงัยคนที่จ่ายเงินเสียงจะดังที่สุด พี่รอสเลยต้องยอมกลับมาทาตึกเป็นสีขาวเหมือนเดิม อิชั้นก็ออก SI ฉบับที่ ๔ แจ้งยืนยันสีขาวอีกครั้ง ผู้รับเหมารึก็หวังดีแนะนำว่า ไหนๆ ผนังด้านนั้นมันก็พ่นไปแล้วกว่า 80% ก็ควรจะพ่นเป็น Texture ให้หมด พอทาสีขาวทับแล้วมันจะได้ไม่กระดำกระด่าง อิชั้นก็เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ที่ไหนได้ พอผู้รับเหมาพ่น Texture เสร็จทั้งผนัง อิชั้นก็เห็นเมล์จากคุณพี่วิลตอน ๒ ทุ่ม ขอให้ลอก Texture ออกให้หมด ฮ้า… กลับบ้านดีกว่ากรู… เฮ้อ… ตกลงจะเปิดตัวสงกรานต์จริงๆ หรือคะคุณพี่…

Thursday, March 8, 2007

typical วิศวกรเครื่องกลหญิง?

เป็นคนกลางนี่มันมันจะตกที่นั่งลำบากจริงๆ นะเนี่ย… มาทำงานไม่ถึงเดือน ก็โดนซะละ… ก็พี่มากรังเกียจไอ้ Alarm switch & bell ที่ติดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านสุดฤทธิ์ตามประสา Interior designer ยังงัยก็จะย้ายให้ได้ ไอ้เราก็ไม่กล้าสั่งย้ายให้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชีวิต เลยลองถามเจ๊ ศ. ซึ่งเป็นวิศวกรเครื่องกลดู (ส่วนจะโสดหรือไม่นั้น อันนี้ไม่ทราบได้) เผื่อฟลุ๊ค แต่ผลปรากฎว่า นอกจากเราจะไม่ฟลุ๊คแล้ว เรายังโดนเจ๊ ศ. อบรมอีกตะหาก ก็เจ๊ ศ. ส่งอีเมล์สั่งให้ปูซึ่งเป็นลูกน้องเธอที่ประจำอยู่ที่ไซท์มาให้ความรู้เราเรื่องความปลอดภัย, ฯลฯ ประหนึ่งเราไม่เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ เราอ่านเมลล์แล้วก็ขำๆ ตั้งใจว่า ถ้าปูมาอธิบายเราเมื่อไหร่ เราจะแซวซะหน่อย แต่เหมือนปูจะรู้แกว ไม่ยอมมาอธิบายเราซะที จนเราต้องเปลี่ยนมาแซวมันว่า "เมื่อไหร่จะมาอธิบายพี่เรื่องความปลอดภัยซะทีละ" ปูบอกว่า "พี่ปล่อยผมไปเถอะคร้าบบบบ" 555… เราเลยได้แต่นึกในใจว่า พวกวิศวกรเครื่องกลหญิงนี่ก้าวร้าวทุกคนเลยรึงัยนะ…

แต่สุดท้ายงานนี้พี่มากก็ได้ที่ request ตั้ง ๑ ข้อ คือ เราย้าย alarm bell หลบไปผนังข้างๆ ให้ เพราะยังได้ effect เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเดิม แต่พี่มากต้องทนมองไอ้ alarm switch ต่อไป อันนี้ช่วยไม่ได้จริงๆ นะค๊า…

แต่ในความโชคร้ายก็มีความโชคดีอยู่บ้าง เพราะเลขาฯ คุณเบนทำ minutes เพื่อนบ้านเสร็จแล้ว เพราะที่ผ่านมาเธอทำตลอด เลยเข้าใจว่าถึงจะเปลี่ยน consult แล้ว เธอก็ยังคงต้องทำ minutes อยู่เหมือนเดิม เย้! ดีใจจริงๆ กำลังคิดว่า จะทำ minutes แบบถอดเทปเลยเชียว ไม่กล้าเขียนสรุปใจความ เพราะคาดว่าจะผิดทั้งใจความและไวยากรณ์รวมกันไม่น้อยกว่า ๑๐ ข้อ ให้มันอับอายประชาชี และเผลอๆ อาจจะถูก U of Sheffield ทวงปริญญาคืนอีกตะหาก… -_-"

Wednesday, March 7, 2007

ประชุมกับเพื่อนบ้านแสนรัก

คุณเบน-เจ้าของโครงการฯ เป็นคนน่ารักมาก เอาใจเพื่อนบ้านสุดๆ เลยจัดให้มีประชุมกับเพื่อนบ้านเดือนละ ๑ ครั้ง เพื่อความสมานฉันท์ แม้ว่าโครงการฯ จะยังไม่เริ่มงานก่อสร้างก็ตาม พี่ณัฐเลยลากเราเข้าประชุมด้วย เพราะจะเอาเราไปทำ minutes (นี่ตรูเกิดมาเพื่อทำ minutes อย่างเดียวในชีวิตรึงัยเนี่ย…) แต่ที่ไหนได้ พอประชุมไปแป๊ปนึง เราก็เครียดสุดๆ แล้วก็นึกในใจว่า จะทำ minutes ยังงัยดีฟะ เพราะในห้องประชุมทุกคนพูดภาษาอังกฤษแบบเริ่ดๆ กันทั้งนั้น ประมาณว่าอยู่เมืองนอกมาเป็น ๑๐ ปี บางคนก็เป็นลูกครึ่ง พูดไทยไม่ค่อยจะชัดอีกตะหาก ที่เด็ดกว่านั้นมีตาคุณ จ. ซึ่งเป็นผู้ประกาศข่าวภาษาอังกฤษของช่อง ๑๑ อีกต่างหาก มีแต่เรากับพี่ณัฐที่พูดเป็นกระเหรี่ยงกันอยู่แค่ ๒ คน แล้วตรูจะทำยังงัยดีเนี่ย…

Monday, March 5, 2007

แจ้อาจจะย้ายมาอยู่กรุงเทพ

หลังจากยะลาระเบิดแล้ว-ระเบิดเล่า แจ้ก็ตัดสินใจจะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ส่วนนึงก็เพราะเรื่องโรงเรียนของลูกด้วย แต่ติดขัดอยู่ที่ต้องใช้เงินลงทุนมาก เลยยังไม่รู้จะหาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหนในระยะเวลาอันสั้น แต่เราก็นึกดีใจเหมือนกัน เพราะว่าเราจะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียวอีก เหงาจะแย่แล้ว…