Wednesday, February 25, 2009

เกือบตกหลุมพราง

เราไปเที่ยวซะหลายวัน เลยไม่ได้ส่งแบบโครงสร้างชุดใหม่ให้ผู้รับเหมา กว่าจะส่งไป ก็ผ่านไป ๑ อาทิตย์ บังเอิญว่ามีเสาอยู่ตรงนึงที่แบบโครงสร้างมันแย้งกับแบบสถาปัตยฯ เราดูแล้วก็ตัดสินใจเลือกเสาเล็กตามแบบโครงสร้าง แล้วค่อยมาก่ออิฐปิดเอา ประหยัดค่าคอนกรีตไปได้หลายสตางค์อยู่ แต่ตา ปส. มาแอบบอกสุว่า ทำเสาเล็กไม่ได้ เพราะตามแบบโครงสร้างที่ส่งมาใหม่ เสาต้นนี้ได้ขยายใหญ่ขึ้น สุเลยปรึกษาเราว่าจะเอางัยดี เพราะหน้างานเข้าแบบเล็กไปเรียบร้อย จะเทคอนกรีตอยู่รอมร่อแล้ว เราถึงรู้เรื่อง เลยต้องให้วิศวกรโครงสร้างเช็คอีกรอบ แต่สุดท้ายเขาก็บอกมาว่า ไม่ได้ ต้องใช้เสาใหญ่

ตอนแรกเรานึกว่า เราโชคดีที่โฮลแบบชุดนี้ เพราะเรารอคำตอบอันนึงจากพี่รอสอยู่ นี่ถ้าเราเซ็นไปเมื่อ ๓ วัน ก่อน คงจะแย่ แล้วเราสังเกตเห็นว่า ไอ้ ปส. มันยังตรวจแบบจากแบบชุดเก่าอยู่เลย เสาก็เป็นต้นเล็ก ทั้งๆ ที่มันก็รู้ว่ามีแบบใหม่ส่งมาแล้ว แต่ตอนนั้นเราไม่ทันคิดอะไรมาก ก็เลยส่งกลับไปให้มันตรวจใหม่ แม่งก็ยังกวนตีน เอาไปนอนกอด ๑ วัน แล้วส่งคืนมาเหมือนเดิม แค่เพิ่มประโยคมาอีก ๑ ประโยคว่า “แบบชุดนี้อนุมัติตามแบบโครงสร้างวันที่...” เราโกรธมากเลย พอบ่ายประชุมโครงการเสร็จ เราเลยต่อว่ามันก็เจ๊ ศ. ว่า มันโคตรจะไม่ให้ความร่วมมือกับเราเลย และรับปากว่าจะไปคุยกับจอนให้ แต่เจ๊ ศ. พูดมาประโยคนึง ทำเอาเราอึ้งไป ก็คือว่า ตา ปส. กำลังจะเล่นเกมอะไรรึป่าว

เรากลับมานั่งคิด-นอนคิด ในที่สุดก็คิดออก โห... แม่งเลวมาก มันจะให้บทเรียนเรากับพี่แตนรึเนี่ย ก็วันก่อนมันทำเป็นเก่ง เอาแบบส่งไปให้ผู้รับเหมา และสุดท้ายแบบชุดนั้นใช้ไม่ได้ โครงการฯ โดนผู้รับเหมาเคลม แล้วพี่วิลบอกว่า เคลมไม่ได้ เพราะ ปส. ไม่มี Authority ที่จะส่งแบบก่อสร้างให้ผู้รับเหมา แบบที่จะใช้ก่อสร้างจริงต้อง Issue โดยบริษัทเราถึงจะถือว่ามีผลทางสัญญา ซึ่งมันก็โวยว่า ระวังว่าถ้าเราส่งแบบช้า (เพราะก็มีขั้นตอนการ Issue แบบอยู่บ้าง) หน้างานจะไม่ทัน แล้วจะมีปัญหาได้ แต่พี่แตนก็ช่วยพี่วิลยืนยันว่ายังงัยก็ต้องรอบริษัทเรา แล้วก็เรียก ปส. และทีมงานมากำชับอีกรอบ มันเลยจะให้เคสนี้เป็นเคส ตย. พอคิดได้ เราอึ้งไปเลยนะ อะไรมันจะทุเรศได้ขนาดนี้ว่ะ มาให้บทเรียนโอนเนอร์แบบนี้ได้งัย ค่าเสียหายตั้งเท่าไหร่ คิดไปคิดมาก็ยิ่งแค้น เราเลยอีเมลล์ไปแจ้งทั้งพี่ณัฐและพี่จอน อีก ๒ วัน พี่จอนก็เข้ามาที่ไซท์พร้อมพี่ด๊อกเตอร์ โดยมาอบรม ปส. ให่ถึงที่ แถมสั่ง ปส. ว่า มันต้องรายงานเรา และต้องทำงานให้ที่พอใจของเราอีกด้วย สะใจอีปร้าจริงๆ ฮ่าๆๆ (ผู้ว่าบอกว่า สั่งให้มันไปชงกาแฟให้เราด้วย แต่เราไม่เอาหรอก เพราะมันอาจถุยน้ำลายลงกาแฟเราได้ เอิ๊กส์ๆ) แต่พี่จอนบอกว่า งานนี้ไม่สามารถเอาผิดกับ ปส. ได้ เพราะมันอ้างว่ามันทำตามคำสั่งพี่แตน คือ เรายังไม่ได้สั่งว่าแบบใหม่นี้ใช้เป็นทางการแล้ว มันก็ต้องตรวจงานตามแบบเก่าไปก่อน เราบอกว่า เราไม่เชื่อว่ามันจะวิจารณญาณต่ำขนาดนี้ จอนเลยประชดมันให้เสร็จสรรพว่า He’s the slave of instruction. ช่างใช้คำประชดได้ดีแท้ ก่อนกลับพี่ด๊อกเตอร์แวะมากระซิบเราว่า ถ้าอยากให้ ปส. ออก ให้พี่วิลสั่งมา จะจัดให้ได้ทันที แต่เราว่ายากมาก เพราะพี่วิลใจดีจะตาย แต่ก็บอกพี่ด๊อกเตอร์ว่า “แล้วหนิงจะพยายามค่ะ” ฮ่าๆๆ พี่ณัฐเลยมาแซวเราว่า เรามันพวกบ่าว ๒ นาย เพราะตอนนี้มีนายฝรั่งด้วยแล้ว ฮ่าๆๆ

Monday, February 16, 2009

รู้สึกดีมาก

พอเราเปิดประตูปุ๊ป ไอ้หนุ่มหันมาทักว่า “อาโน.... พี่หนิง” เรางี้อึ้งไปเลย ทำไมรู้วะว่าเราไปญี่ปุ่น เราไม่ได้บอกใครเลยนะ พอกลางวันไปกินข้าว ลุงกระเพราไก่ถามว่า “ไปเที่ยวญี่ปุ่นสนุกไม๊ครับ” เฮ้ย... อะไรกันนี่ ตกบ่ายมีประชุมกับผู้รับเหมา ช่างแว่นถามเราว่า “มีถั่วเคลือบวาซาบิมาฝากเด็กๆ ไม๊ครับ” เฮ้ย... ในไซท์นี้มีใครไม่รู้มั่งไม๊วะ แหม... ความลับไม่มีในโลกจริงๆ...

แต่ที่เราดีใจมาก คือ พอสุเห็นหน้าเราแล้วมันทำหน้าดีใจมาก ในขณะที่เราเห็นหน้าสุแล้วตกใจ โห... แค่เราไปเที่ยวอาทิตย์เดียว สุดูโทรมไปเยอะเลย เมย์บอกว่าทุกคนขยันขันแข็ง ตั้งใจทำงานกันดีมาก เอ๋มาแต่เช้า เตรียมข้อมูลประชุมให้พี่ณัฐทุกครั้ง ส่วนสุกลับบ้าน ๓ ทุ่ม ทุกวัน (มิน่า... โทรมเชียว) ฟังแล้วรู้สึกดีมากๆ เพราะพอเราไม่อยู่ ทุกคนก็รู้หน้าที่ตัวเองดีว่าต้อง support พี่ณัฐขนาดไหน ฟังอย่างนี้แล้ว จะได้ไปเที่ยวฝรั่งเศสด้วยความสบายใจ ฮ่าๆๆ

Friday, February 13, 2009

Osaka Aquarium

























วันสุดท้ายเป็นฟรีสไตล์ คนส่วนใหญ่เลือกไปเที่ยวปราสาทฮิเมจิกัน ทีแต่เรากับ PK ที่เลือกไป Aquarium จริงๆ เราบอก PK ไปว่า เราไปเองได้ แต่เฮียแกก็ไม่ยอม บอกว่าพี่ณัฐสั่งมาให้ดูแลเรา เลยต้องไปด้วยกัน
ที่เราอยากไป Aquarium ที่นี้มากๆ เพราะเราตั้งใจไปดูของ ๓ อย่าง คือ ฉลามวาฬ, โมลา-โมลา และแมนต้า แต่ได้ของแถมมา คือ โรนิน และฉลามหัวฆ้อน โห... คุ้มจริงๆ เลย (เราตั้งใจไว้ว่า มีโอกาสเมื่อไหร่ จะเขียนเรื่อง “Aquarium Review” เพราะ ๓-๔ ปีหลังนี้ ได้ไปดูอควาเรียมมาหลายที่ แต่ตอนนี้ขอฟันธงเลยว่า ที่โอซาก้าเจ๋งสุด) เสร็จแล้วก็รีบไปปราสาทโอซาก้ากัน เพราะสงสารคุณ ปภ. ที่โดนเราลากมา Aquarium ซะตั้งนาน

กว่าจะไปถึงปราสาท ทั้งเดินทั้งวิ่งกันเหงื่อตก เห็นอยู่ลิบๆ กว่าจะไปถึงได้ถ่ายรูป เล่นเอาเหนื่อย คูเมืองของปราสาทกว้างมาก เราว่าร่วม ๒๐ เมตร นี่ถ้าพระเจ้าอู่ทองมาดูงาน สงสัยกรุงศรีอยุธยาจะไม่มีวันแตก แต่น่าเสียดายที่ใกล้ๆ กับปราสาทฯ มีสวนสาธารณะ มีดอกบ๊วยบานด้วย แต่เราไปไม่ทัน เพราะต้องรีบกลับมาขึ้นรถที่โรงแรม ไม่เป็นไร เอาไว้มาใหม่ก็ได้ขากลับเราได้นั่งกับวิศวกรคนนึง เราว่ามันน่าจะวัยใกล้ๆ กับเรานะ แต่มันดันเรียกเราว่า “พี่” ฟังแล้วฉุนชะมัด นี่ไม่ดูหน้าตัวเองเลยเหรอ เลยหลับตลอดทาง ไม่อยากคุยด้วยโว๊ย..

Thursday, February 12, 2009

ไปดูงาน (จริงๆ)







วันนี้เป็นวันทำงานแล้ว คือ ต้องไปดูโรงงานที่โอซาก้า แต่... เขานัดโรงงานไว้บ่าย ๓ เพราะฉะนั้น บ่ายโมงเลยพาลูกทัวร์ไปถ่ายรูปเล่นที่โกเบก่อน เราชอบลูกปั้นปลามาก เก๋ไก๋ดีจริงๆ ในที่สุด ก็บ่าย ๓ โมง ชาวคณะก็ได้ไปชมโรงงานไดกิ้น (ซะที) โดยมีคุณลุงคนนึงของไดกิ้นมาเป็นไกด์ เราประทับใจคุณลุงมาก เพราะคุณลุงพูดภาษาอังกฤษดีมากๆ มีลงท้ายเสียงทุกคำ เอ้กเซ้นส์ก็ได้เลย มีคนมาบอกทีหลังว่า ที่จริงแกเกษียณแล้ว แต่พูดได้หลายภาษาเลยล่ะ ทางไดกิ้นเลยให้แกเป็นไกด์ทำงานต่อ จนขากลับนั่งรถไปที่โรงแรม เราก็ยังชมอยู่ โทชิทนไม่ได้ถามว่า คุณลุงพูดภาษาอังกฤษดีขนาดนั้นเลยเหรอ อีปร้าก็ตอบว่า “ดีมาก ดีกว่ายูด้วย” เลยเป็นอันจบบทสนทนา

ค่ำนี้ทั่นรองประธานฯ ให้เกียรติพาไปกินชาบู เราเลยได้กินข้าวก้นหม้อกะไข่ดิบเป็นครั้งแรก รสชาดกึ๋ยๆ ยังงัยไม่รุ คงไม่กินอีกแล้วล่ะ ไปนอนดีกว่า เพราะพรุ่งนี้จะได้ไปดูโมลา-โมลา แล้ว อิอิ...

Wednesday, February 11, 2009

ไปปั้นตุ๊กตาหิมะกัน




















โปรแกรมวันนี้เดิมที คือ ไปโอตารุ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ เอาไว้เดินเล่นชิลๆ และมีจุดถ่ายรูปวิวมหาชน คือ คลองที่อยู่กลางเมือง (อยู่ในรูปถุงแนะนำการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นด้วยน๊า) และที่สำคัญ คือ มีร้านขนมเค้กอร่อย ชื่อ La Tao อันนี้ recommend มาก ดีทั้งหน้าตาและรสชาด เป็นอันจบทัวร์วันนี้ แต่เนื่องจากมีเวลาเหลือ เราเลยขอให้เขาแวะจุดท่องเที่ยวอีกจุดนึง ซึ่งตอนแรกรายการทัวร์ตัดออกไป เพราะเขาบอกว่า ลานอันนี้ให้เด็กไปเล่น แต่เราอยากไปมากกกกก เจ้าภาพก็เลยจัดให้ เห็นไม๊ ของเขาดีจริงๆ ด้วย ฮ่าๆๆ
ตอนบ่ายเราเลยได้แวะไปปั้นตุ๊กตาหิมะหิมะสมใจ พร้อมป้ายเขียนว่า “Daikin NO. 1!” กะเขาบ้าง โดยมีโทชิบ่นหนาวไปตลอดทาง แถมเราถามอะไรเดี่ยวกับญี่ปุ่น มันยังไม่ค่อยรู้อีก ต้องคอยหันไปถามยูมิ – ไกด์ญี่ปุ่นอีกทีตลอดก่อนที่จะตอบเรา เราเลยแซวว่า ที่จริงแล้วโทชิเป็นคนไทย ฮ่าๆๆ

ค่ำนี้ไปกินปูขนกัน เสียดายที่ไม่มีน้ำจิ้มซีฟู๊ด อีปร้าก็หันไปเม้งโทชิอีก พอจะกลับโรงแรม โทชิก็ทำท่าจะมาทวงสัญญาของโครงการ (หลังจากที่เซ็น LOA มาแล้วชาตินึง) อีปร้ายังรมณ์เสียค้างอยู่ที่ไม่มีน้ำจิ้มซีฟู๊ด แถมยังไม่ได้อยู่เที่ยวญี่ปุ่นต่อ เลยตอบว่า “No extend on my stay. No contract” ฮ่าๆๆ

ขอเม้าท์หน่อยว่า ตอนที่เรากำลังเดินถ่ายรูปอยู่อย่างเมามัน หันมาอีกทีก็เห็น CM เดินหงอยๆ เพราะกล้อง Memory เต็ม แต่ดันไม่ยอมซื้อใหม่ ส่วนคุณภรรยาก็ช่างอดทนได้บอกว่า ไม่เป็นไร เขาจะเก็บเป็นความทรงจำ โห... ช่างทนได้ นี่ถ้าเป็นอิชั้น ซื้อ Memory Card ใหม่ไป ๓ อันแล้ว เลยบอกว่า ถ้าอยากถ่ายรูปขอให้บอก เพราะกล้องอิชั้นถ่ายได้ 3,000 รูป เฮ้อ... ทำเอาเรานึกถึงไอ้อู๊ดขึ้นมาทันทีเลยวะ ได้อย่าง มันก็ต้องเสียอย่างจริงๆ เพราะถึง CM จะเอาใจใส่ดูแลมาดามเป็นอย่างดี แต่แหม... แค่จ่าย ๑,๐๐๐ บาท เพื่อ Memory card ใหม่กลับไม่ยอมซะนิ เฮ้อ..

Tuesday, February 10, 2009

ซับโปโร - Snow Festival

บรรยากาศตอนกลางคืนส่วนน้ำแข็งแกะสลัก


Whale In the City!


หน้าร้านขายอาหารทะเล (เหมือนไม๊?)


บรรายากาศกลางวันส่วนหิมะ






แชมเปี้ยนชาวไทย (2 ปีซ้อนอีกตะหาก!)



ขออีกรูปสำหรับปลาตัวโปรด (อีก 3 วัน จะได้ไปดูตัวเป็นเป็นๆ ที่ Osaka Aquarium แล้ว หุหุ...)








เช้ามามีแต่คนแซวที่เราหายตัว CM กับ PK ใส่ไข่ใหญ่ว่า เราหายไปกับเพื่อนหนุ่มชาวญี่ปุ่น เออ... เอากันเข้าไป และเนื่องจากงานนี้ส้มหล่นใส่ MTL เขาเลยได้มากัน 5 คน แถมยังสนิทกับเจ้าภาพมาก่อนแล้วด้วย เพราะมากันหบายหนแล้ว เมื่อคืนหนุ่มๆ เลยไปคาราเกะกัน โห... ใช้ได้เลยนะเนี่ย ขนาดบนเครื่องก็ไม่ค่อยได้นอนกัน ที่เราประทับใจ คือ ไอ้เจ้าอาทิตย์ซัง มัน entertain พวกพี่ๆ ด้วยการร้องเพลง Bohemian Rhapsody โชว์ แหม... ใช้ได้เลยค่ะคุณน้อง

ก่อนขึ้นเครื่องมีร้าน Tokyo Banana มีคนบอกว่า เค้กที่นี้อร่อยมาก และมีที่โตเกียวที่เดียวเท่านั้น เลยซื้อกันใหญ่ เราเลยเอากะเขาด้วย ตัดภาระเรื่องของฝากไปได้ 1 เรื่อง เที่ยงก็ไปถึงซัปโปโร (เครื่อง ANA เจ๋งดี มีทีวีให้ดูภาพด้านหน้าที่กัปตันดู เราเลยได้เห็นภาพรันเวย์ด้วย ตื่นเต้นดี) พอมองลงไปก็เห็นสีข้าวเต็มไปหมด คนละอารมณ์กับโตเกียวมาก ตอนแวะกินข้าวเที่ยง เลยออกไปถ่ายรูปกันใหญ่ เราก็ไม่เคยเห็นหิมะหนาขนาดนี้เหมือนกัน เลยออกไปถ่ายรูปใหญ่แบบไม่กลัวหนาวตาย

แล้วก็ดิ่งไปที่งานในเมืองเลย มีรูปปั้นทั้งแบบรุ่นใหญ่และรุ่นเล็ก และมีแบบใหญ่เป็นเวทีด้วย (สูงตั้ง 15 เมตร) ถ่ายรูปกันเพลินเลย แต่ก็ไม่วายแอบเม้าท์คนญี่ปุ่นที่มาแกะน้ำแข็งเป็นรูปหงษ์คู่ หรือปลาคู่ว่า โคตรจะบ้านๆ เลย แบบนี้ที่บ้านไอน่ะ เขาแกะเล่นในงานแต่งงาน ครึ่ง ชม. ก็เสร็จแล้ว แกะทุกวันเลย เอามาออกงานได้งัยเนี่ย เอิกส์ๆๆ ส่วนการประกวดปีนี้คนไทยได้ที่ 1 อีกแล้ว (ไม่รู้ไปแอบซ้อมปั้นกันตอนไหน)
ตอนเย็นเขาเลี้ยงเนื้อเจงกิสข่าน (เนื้อแกะย่าง ซึ่งกลิ่นโคตรจะติดตัว เหมือนไปกินหมูกะทะยังงัยยังงั้น เราละเซ็ง เพราะต้องทนใส่เป็ดกลิ่นแกะกะทะไปอีกตั้ง 2 วัน) กับเบียร์แบบ Un-limit พอกินไปซักพัก ชาวคณะก็เริ่มมัน เริ่มตะโกนว่า “Daikin No. 1!” คัมไป... หมดแก้ว... เป็นที่ถูกใจเจ้าภาพมากกกกกก... ตอนแรก PK ไม่ขำ หันไปมองหน้าไอ้คนพูด เพราะมันเป็นคอนซัลท์ที่ช่างไม่เป็นกลางเอามากๆ ปรากฎว่า ไอ้หมอนี่ไม่สำนึก หันมาพูดต่อว่า “ของเขาดีจริงๆ นะ” ทำเอา PK อึ้งไปเลย เรางี้ขำก๊าก เลยช่วยต่อมุขให้เฮียโดยการนำทีมชูแก้วว่า “Daikin No. 1! คัมไป!” ฮ่าๆๆ
เราได้นอนที่นี้ 2 คืน เลยรื้อของอย่างสบาย ต้องขอสารภาพว่า เราชอบส้วมญี่ปุ่นมากอ่ะ อุ่นมาก นั่งสบาย ส้วมสาธารณะก็ยังสะอาดกว่าที่ส้วมที่ออฟฟิสเราอีกไซท์อีก แถมที่ชอบโรงแรมนี้อีกอย่าง คือ มีเก้าอี้นวดให้ด้วย นี่ถ้าผู้ว่าเห็น คงน้ำลายหก ตอนแรกเรากะไม่ลอง เพราะก็ไม่ได้ชอบนวดเป็นทุนอยู่แล้ว แต่พอเห็นตา สภ. ทำตาเป็นประกายแคนดี้จอแก่นตอนพูดถึงเก้าอี้นวด เลยลองดู โห... พระเจ้าจอร์จ มันยอดมากจริงๆ ค่ะ อยากมีไว้นวดเล่นจริงๆ ตอนนวดน่องเนี่ย สบายสุดๆ จริงๆ เลย...

Sunday, February 8, 2009

ปฏิบัติการลับฮอกไกโด

สัญญลักษณ์ของโตเกียว


แสงสีชินจูกุยามคำคืน


ทางเท้าที่อาคิฮาบาระ




สัญลักษณ์ของวัดอะซากุซะ
อาทิตย์ที่แล้วซัดไป 4 ทุ่มทุกวัน นายก็ไปดำน้ำ แถมมี Project Meeting อีกตะหาก ทำเอาเกือบตาย โชคดีที่พี่รอสไม่มา ไม่งั้นคงตายไปแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ ฤทธายังเคลม EOT มาอีก กรูจะบ้าตาย จนเมื่อวานก็ยังซัดไป 5 ทุ่ม จนอดไปคาราโอเกะของบริษัท แต่เพื่อการท่องเที่ยวของเรา เฉลิมพรเลยสู้ตาย จนบ่ายนั่นแหละถึงได้นัดไปส่งมอบงานกับพี่ณัฐที่สตาร์บัคส์แถวบ้าน ปล่อยให้แกเผชิญโชคซะบ้าง แถม CM กับ PK ก็ไม่อยู่ซะด้วย ดูดิว่าจะรอดไม๊ แต่ในฐานะลูกน้องที่ดี เราก็นั่งเขียนสคริป์ให้แกเป็นที่เรียบร้อย ลงรายละเอียดแม้กระทั่งว่า เรื่องนี้ต้องถามใคร ใครจำเป็นต้องตอบบ้าง เพราะคิดว่าถ้าเล่าให้ฟังเฉยๆ แกคงลืมภายใน 2 ชม. ขอให้โชคดีนะคะ

ไม่รู้เป็นอะไร หมู่นี้ต้องเที่ยวแบบหลบๆ ซ่อนๆ อุตส่าห์ได้ไปดูงาน(ท่องเที่ยว)ที่ญี่ปุ่น ก็ต้องไปแบบหลบซ่อน เพราะ CM กับ PK หนีพี่วิลไป เลยมาบังคับให้เราช่วยปกปิดความลับด้วย เออ... เอากันเข้าไป

เราไปถึงสนามบินเร็วมาก เพราะรถไม่ติดเลย จนปุ๊กแซวว่า กลัวจะไม่ได้ไปรึงัย แต่จริงๆ หมะบอกว่าให้ไปตั้งแต่ 5 โมงเย็น (Flight เที่ยงคืนเอ๊ง) ตื่นเต้นยิ่งกว่าอีกแน่ะ งานนี้เลยมีเวลาเดินช้อปปิ้งอย่างสบายใจ สอยกระเป๋ามาใบนึง แต่แหม... อยากได้ ท้อดส์ จังเลย สงสัยต้องไปสอยที่ปารีสสงกรานต์นี้ซะแล้ว ฮ่าๆๆ

บนเครื่องมีทีวีส่วนตัว เราเลยเลือกดูสามก๊กภาค ๑ เพราะจำได้ว่าพี่ณัฐชมนักชมหนาว่าถ่ายสวย เออ ก็ถ่ายสวยจริงๆ ด้วย ผ้าคลุมปลิวไสวตลอดเวลา สมกับที่พี่จอนห์นเป็นผู้กำกับ ส่วนน้องทาเคชิโรน่ารักมากมายไม่เปลี่ยนแปลง อิอิอิ... แต่ดูไป ก็กังวลไป เพราะเล่นไม่ได้นอนทั้งคืนแบบนี้ พรุ่งนี้จะรอดไม๊ฟระ สงสัยได้อัดกาแฟแทนน้ำแน่... เฮ้อ... พอหนังจบ เราหลับได้ 2 ชม. ก็โดนปลุกมากินข้าว งานนี้มากัน 14 คน (รวมเจ้าภาพ 3 คน) กับไกด์ผู้หญิงญี่ปุ่นอีก 1 คน (ชื่อ ยูมิ) มีแขกเป็นผู้หญิงแค่ 2 คน คือ แฟนของ CM กับเรา เราเลยได้นอนเดี่ยวทุกวัน แสนสบาย หุหุหุ... (จะว่าไป ถ้าหมูมาด้วย ก็ได้เลยนะเนี่ย...)

เราอุตส่าห์เอาโทรศัพท์ไปด้วย แต่ดันใช้ไม่ได้ซะนิ เพราะมันไม่รองรับ 3G แหมโว๊ย... เลยให้รู้สึกสงสารสุ มันจะรอดไม๊วะ อุตส่าห์บอกมันว่า เราเอามือถือไป มีอะไรให้โทรได้เลย รู้งี้เอาโน๊ตบุ๊คมาดีกว่า จะได้เช็คเมลล์ เฮ้อ... สู้เขานะสุ

วันแรกไปเที่ยววัดอะซากุซะกัน ระหว่างทางผ่านตึกเบียร์อาซาฮีด้วย เห็นปุ๊ป จำได้ปั๊ป คิดถึงความหลังขึ้นมาเชียว เสียดายถ่ายรูปไว้ไม่ทัน และเนื่องจากคณะเราไปถึงกันเช้ามาก ร้านเลยยังไม่เปิด (เอาอีกล่ะ มาไม่ค่อยจะเจอร้านเปิด สงงสัยต้องมาอีก ฮ่าๆๆ)

แล้วก็ไปปล่อยที่อากิฮาบาระ (ขายสินค้าอิเล็คทรอนิคส์) เราเดินหาร้านมูจิซะเหนื่อย ถามคนญี่ปุ่นก็ไม่มีใครรู้ แต่ก็เป็นไปได้แหละ ย่านนี้ไม่น่ามี ตอนหลังไปเจอผู้ชายญี่ปุ่นคนนึงมาให้เราช่วยกรอกแบบสอบถาม เลยช่วยเต็มที่ (แบบว่ามันว่างอ่ะ) เขาเลยให้ถุงเท้ามา 1 คู่เป็นการตอบแทน แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือเราเรื่องมูจิได้ เชอะ เลยเปลี่ยนไปหาเฮ้าส์ซิ่งของกล้องใหม่เรา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเช่นกัน กูรละเบื่อ...

ตกเย็นก็เช็คอินเข้าที่พัก เรามีเวลา 1 ชม. เลยนั่งคอมเม้นท์ schedule ของฤทธาแล้วส่งเมลล์ให้พี่ณัฐ (เจอไป 525 เยน) แล้วก็ได้เวลานัดกับ Akiko เราก็เลยปลีกตัวจากชาวคณะ หายสาปสูญไปจากกลุ่ม จนมีคนแซวว่า สงสัยเราจะหายไปกับหนุ่มญี่ปุ่นทั้งคืน แต่ในความเป็นจริง เราได้แต่เดินเล่นกับ Akiko แถวโรงแรม แล้วก็ไปหาข้าวกินกัน คุยกันสนุกใหญ่เลย เพราะไม่ได้เจอกัน ๑๒ ปี จะไม่สนุกนิดเดียวก็ตรงที่เขากังวลที่เราไม่แต่งงานซะที แหม... เราก็ Rating ดีนะเนี่ย พักหลังๆ มีเพื่อนๆมากังวลเรื่องนี้กันหลายคน กดดันเหมือนกันนะเนี่ย เฮ้อ... ที่จริงก็อยากจะแต่งงานม๊ากมาก... แต่ไม่มีหนุ่มมาขอซักที ก็ไม่รู้จะทำงัยนิ แล้วเลยไปหากาแฟกินกัน ก่อนจะแยกย้าย เพราะเราง่วงมาก พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย