Wednesday, February 20, 2008

London - Day V




วันนี้อากาศแย่มาก ฟ้าครึ้มมาเลย หนักกว่าเมื่อวานอีก เลยทำให้หนาวขึ้นไปอีก แต่เราก็ไปเที่ยวต่อ หุหุหุ… วันนี้ไปโซน Royal Albert Hall เพราะจะไปลานน้ำพุเจ้าหญิงไดอาน่า กับ Victoria & Albert Museum ซึ่งในหนังสือบอกว่า เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ระหว่างทางไปลานน้ำพุฯ ก็ผ่าน Imperial College มีตึกกระจกที่เขาต่อเติม (เราว่าตอนนั้นมันไม่มีนะ) ดูสวยมาก คุณน้องกระหน่ำถ่ายรูปอีกหล่ะ ส่วนเราถ่ายมาฝากหมู ๒ รูป

พอไปถึงลานน้ำพุเจ้าหญิงไดอาน่า ปรากฎว่าไม่มีคนเลย และหนาวโคตรๆ เพราะมันเป็นที่โล่งๆ กับบ่อน้ำ ลมก็โชยใหญ่เลย หนาวจนเรากับคุณน้องต้องงัดถุงมือมาใส่ถึงจะถ่ายรูปกันได้ เลยแซวกันเองว่า เพราะหนาวอย่างนี้นี่เอง เลยไม่มีคนมา มีแต่คนบ้าอย่างเรา ๒ คน เท่านั้น พอผ่านไป ๑๐ นาที ก็มีนักท่องเที่ยวหัวดำบ้ามาอีก ๒ คน เฮ้อ… เป็นนักท่องเที่ยวนี่ไม่มีทางเลือกจริงๆ หนาวแค่ไหนก็ต้องสู้

แล้วก็รีบหลบหนาวเข้าไปที่ Victoria & Albert Museum ซึ่ง Section หมุนเวียน เป็นเรื่องวิวัฒนาการของเสื้อผ้า ทางเข้าเป็นชุดราตรียาวของเจ้าหญิงไดอาน่า เรากับคุณน้องเลยปรี่เข้าไปดู ปรากฎว่า โดยฝรั่งหลอก เพราะมีชุดของเจ้าหญิงฯ แค่ชุดเดียว ที่เหลือเป็นชุดของห้องเสื้อดังๆ แต่… แต่เป็นเสื้อยุค ๘๐ นะ เชยระเบิด เฮ้อ… คุณน้องเลยหนีไปเรียน ปล่อยให้เราดูเสื้อจนจบ แล้วก็ดูรูปปั้นต่างๆ อยู่แป๊ปนึง ก็เบื่อ เลยไปซื้อรองเท้าดีกว่า สุดท้ายก็ตัดสินใจเอา ดร. เพราะ Clarks เดี๋ยวรอซื้อที่เมืองไทยตอนเซลล์ก็ได้ เลยต้องไป Covent Garden อีกรอบ

ตอนเดินออกมาจากหน้า Museum เราเห็นตู้โทรศัพท์แบบตู้แดงอยู่ตู้นึง เลยเดินเฉียดเข้าไปดู เผื่อฟลุ๊ค และก็ฟลุ๊คจริงๆ ด้วย เพราะมีโปสการ์ดรูปโป๊วางอยู่เต็มไปหมด เรารีบหยิบมาอย่างละแผ่น โอ้… ในที่สุด… ภารกิจของอิชั้นก็สำเร็จ แต่ก็ให้ทะแม่งๆ ในใจว่า ทำไมมันไม่มีที่โซโห แต่ดันมามีที่หน้า Victoria & Albert Museum นี่อะนะ และที่น่าขำอีกอย่างก็คือ รูปแม่งเหมือนเดิมเลย… เพราะก่อนเรามาพี่ณัฐเอารูป ตย. ให้เราดู ซึ่งแกไปอังกฤษมาเกือบ ๑๐ ปีแล้ว ผ่านมา ๑๐ ปี มันยังใช่ Format เดิมเป๊ะ เปลี่ยนแค่หน้าตานางแบบที่ดูปัจจุบันมากขี้น และสคริ๊ปทันสมัยขึ้น คือ มีให้เลือกหลายเพศ ฮ้า…

พอไปถึงร้าน ดร.ฯ ตอนแรกเรานึกว่าจะได้คืนภาษีเยอะ เพราะ VAT ที่อังกฤษสูงถึง ๑๗.๕% แต่พอเขาหักค่าธรรมเนียมต่างๆ เสร็จ สุดท้ายเราจะได้เงินคืนแค่ ๑๐% เอง ก็ทำเอาเซ็งไปเล็กน้อย แต่ก็ยังเอาอยู่ดี ตอนซื้อให้นิจ เราลังเลเล็กน้อย เพราะแบบมัน "หญิง" พอสมควร เลยต้องถามพนักงานอีกทีว่า รุ่นนี้มีแบบนี้แบบเดียวจริงๆ นะ และพอเราลองรองเท้าเรา เราก็ยิ่งลังเลว่าทำไมนิจใส่ใหญ่กว่าเราเบอร์นึงฟระ แต่เราก็จดมาถูกนะ เพราะอ่านตั้ง ๒ รอบ พอเอามือถือขึ้นมากะจะ message ไปถาม ถึงเห็นว่าที่เมืองไทยตี ๑ แล้ว เลยตัดสินใจเอา เพราะถ้านิจไม่เอา เราก็ใส่เองก็แล้วกัน เพราะมันก็ดูดีอยู่เหมือนกัน

คราวนี้เรานัดกับคุณน้องที่ Harrods ซึ่งคุณน้องแซวว่า เนื่องจากห้างมันใหญ่มาก ให้เจอกันที่โซนถุง Harrods นะ เอาตรงถุงสีเขียวด้วย แถมย้ำว่า “ย้ำๆ เอาตรงสีเขียวนะคุณหนิง” เมื่อวานเราฟังแล้วก็ขำใหญ่ พอตอนนี้ถึงเข้าใจว่า ห้องขายถุงใหญ่มากกกกกกกกกกกกก และมีสารพัดสี กว่าจะเจอถุงสีเขียว เล่นเอาเหงื่อตก (ไม่เข้าใจมาจนถึงวันนี้เลยว่า ทำไมมันถึงเป็นสินค้าขายดีไปได้…) แถมยังต้องหิ้วถุงรองเท้าอีก ๒ ถุง เลยยิ่งพานหมดอารมณ์เดินหาห้องน้ำที่ในหนังสือบอกว่า ทาง Harrods ลงทุนตกแต่งไปถึง ๑ ล้านปอนด์ (โอ้ว… แม่เจ้า) พอเจอห้องน้ำที่ชั้นล่างปุ๊ป เราก็ปรี่ไปเข้าทันที ซึ่งมันเป็นห้องน้ำธรรมดามาก เสร็จแล้วคุณน้องถามเราว่าจะเดินหาห้องน้ำ ๑ ล้านปอนด์นั้นอีกไม๊ เราตอบว่า "ไม่เอาหล่ะ… เหนื่อย"

พอถึงบ้านเราก็เอารองเท้าออกมาโชว์ ปรากฎว่าคุณน้องชอบรองเท้านิจมากกว่า แล้วบ่นว่า ของเราดู "แมน" ไป อ้าว… กำลังงงๆ อยู่ เจ้าของบ้านของคุณน้องก็มาเคาะประตูเรียกให้ไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ (พี่เขาเป็นเชฟร้านอาหารไทย) แต่เราไม่กินเนื้อ เขาเลยทำก๋วยเตี๋ยวหมูให้กินเป็นพิเศษชามนึง ฮ้า… ดีจริงๆ เราเลยถือโอกาสขอสัมภาษณ์เขามาออกรายการ "ช่างคุย - Indies Kitchen" ซะเลย แต่แหม… ได้โอกาสทำงานให้หงษ์ทั้งที ก็ดันเป็นรายการชาวบ้านเสียนิ…

1 comment:

me! said...

ห้องน้ำ ๑ ล้านปอนด์ ค่าเข้าตั้ง ๕ ปอนด์หนิ
แต่รู้สึกว่าข้างในจะใหญ่หรูอลังการ มีที่ให้นั่งเล่น
คาดว่าถ้าจะยอมเสียเงิน ๕ ปอนด์ให้ซื้อขนมกาฟงกาแฟ ไปนั่งปิกนิกด้วยน่าจะเวิร์ก ฮ่าๆๆๆ