Monday, April 14, 2008

Day IV - Craddle Mountain






เมื่อคืนนอนซะเต็มอิ่ม วันนี้เลยออกเช้า ขับไป Craddle Mountain ระหว่างทางแวะถ่ายรูปที่เขื่อน ถึงฝนจะตกหน่อยๆ ชาวคณะก็ไม่หวั่น น้ำในเขื่อนใสสะท้อนเป็นกระจกเลย เที่ยงนิดๆ ก็ถึง อุทยานแห่งชาติ Craddle Mountain ว่าแล้วก็แวะ Information เพื่อสอบถามเส้นทางท่องเที่ยว ถามแค่แป๊ปเดียวเท่านั้น แต่เวลาหมดไปกับการช้อปปิ้งซะมากกว่า ทั้งพี่รันต์, ปุ๊ก และเราได้เสื้อหนาวมาคละตัว เป็นเสื้อของอุทยานฯ เลยจะมีปักรูป Tasmania Devil ไว้ด้วย ทุกคนซื้อสีดำหมด เลยกลายเป็นเสื้อทีมไปอย่างไม่ตั้งใจ และในที่สุด เราก็มีเสื้อหนาวที่ถูกระเบียบชาวลอนดอนแล้ว เย้! และต้องไม่ลืม อิชั้นต้องรีบสแตมป์ตราอุทยานฯ หุหุหุ…

เนื่องจาก Craddle Mountain เป็นอุทยานฯ ที่ใหญ่มากๆ ทางอุทยานฯ เลยมีรถบัสวิ่งวนในอุทยานฯ ให้นั่งท่องเที่ยวได้ใช้ฟรี (รวมในค่าเข้าเรียบร้อยแล้ว) แต่ถ้าจะไปดูสัตว์ตอนกลางคืน มีทัวร์เสียเงินให้เลือกซื้อ เย็นนี้มีไปดู Wombat แต่ค่าทัวร์คนละ ๑๕ เหรียญ พวกเราเลยลังเลใจไม่ซื้อ แหม… ยังพอมีเวลาตัดสินใจนิ
พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ (มื้อนี้มี ข้าวแกงเขียวหวานอีกแล้ว แต่อร่อยสู้เมื่อวานไม่ได้ แหม… มันฮิตดีจริงๆ) ก็ยังเช็คอินไม่ได้ พวกเราเลยแวะเดินรูทใกล้ๆ (สั้นๆ) ก่อน ตามประสาป้าๆ ขี้เกียจเดิน คราวนี้เดินรูทที่เรียกว่า Pencil Pine เป็นทางเดินบนสะพานไม้ เดินได้สะดวกมากๆ ๒๐ นาที เสร็จ และการหาจุดเริ่มเดิน ก็หาได้ไม่ยาก เพราะเขาจะทำป้ายเป็นรูปตัว W และมีรอยรองเท้าเป็นส่วนนึงของตัว W น่ารักมากๆ เสร็จจาก Pencil Pine Route คราวนี้เป็นของจริง เพราะเราตกลงจะเดินรอบ Dove Lake ซึ่งเป็นรูท ๒ ชม. แม่เลยนั่งรอบนรถ
๕ นาที แรก ทะเลสาปสวยมากๆ ค่ะ ถ่ายรูปกันใหญ่ ชื่นชมทัสมาเนียกันสุดๆ ผ่านไปครึ่ง ชม. เสียงเริ่มเงียบ ผ่านไป ๑ ชม. จะเดินกลับก็ใช่ที่ เพราะเดินมาครึ่งทางแล้ว เลยเดินต่อไป ผ่านไป ชม. ครึ่ง "เฮ้ย หนิง ทำไมมันไม่เห็นกระท่อมเหมือนในโปสการ์ดซะทีวะ นี่เราเดินมาจะครบรอบแล้วนะ" "อืม นั่นดิ แต่ชั้นว่า เราใกล้ถึงแล้วล่ะ พ้นโค้งข้างหน้า น่าจะเห็นที่จอดรถแล้ว" ผ่านไปอีกครึ่ง ชม. เฮ้ เห็นกระท่อมแล้ว ถ่ายรูปๆๆ ตอนถ่ายก็เห็นว่า มีคุณแม่ลูกอ่อนอยู่แถวนั้น เรากำลังตัดสินใจว่าจะเตือนเขาดีไม๊ว่า อย่าเดินต่อเลย เดินกลับเหอะ นี่ก็จะ ๕ โมงเย็นอยู่แล้ว ยูจะต้องเดินอีกเป็น ชม.ๆ เลยนะ ก็เห็นเขาเดินย้อนกลับ เลยไม่ต้องเตือน แล้วก็ทนเดินต่ออีกครึ่ง ชม. ก็ถึงลานจอดรถ เบ็ดเสร็จพวกเราเดินไป ๒ ชม. ๔๕ นาที เฮ้อ… ฝรั่งเดิน ๒ ชม. แต่คนไทยสูงอายุอย่างคณะเราเดินไป ๒ ชม. แก่ๆ เฮ้อ… ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ปุ๊กเลยพาแม่ไปถ่ายรูป เดินไปแค่ ๕ นาที ก็ได้วิวเดียวกับที่เราเดินไปเกือบ ๓ ชม. โฮๆๆ
ขากลับเราเห็น Wombat กินอะไรก็ไม่รู้อยู่ข้างทาง เลยเรียกให้คนอื่นๆ ดู ปรากฎว่า ปุ๊กจอดรถเอี๊ยด ถอบปรู๊ดเดียวมาอยู่ข้าง Wombat ให้เราถ่ายรูป เราก็หยิบกล้องมือไม้สั่น โดยมีเสียงปุ๊กเร่งให้เราเร็วๆ หน่อย เพราะมีรถตามมา เดี๋ยวจนด่าว่าพวกหัวดำจอดรถมั่วซั่ว ยังจัดมุมกล้องไม่ได้ดี Wombat ยังไม่หันหน้ามาเลย เราก็กดชัดเตอร์แล้วให้ปุ๊กรีบออกรถ พอมองกระจกหลัง ทีไหนได้ ฝรั่งจอดรถกันหมด ฮือ… หนูไม่ย๊อม หนูไม่ยอม… สรุปว่างานนี้ทุกคนประหยัดไปคนละ ๑๕ เหรียญ ไม่ต้องไปซื้อทัวร์ส่อง Wombat กับทางอุทยานฯ แถมได้เห็น Wombat อย่างใกล้ชิดอีกตะหาก หุหุหุ…
พอเข้าที่พักแพงโคตรอันนี้ได้ (คืนละ ๓๐๐ เหรียญยูเอส ดีนะเนี่ยที่ค่าเงินมันตกอยู่พอดี แต่ถึงกระนั้น อิชั้นก็สรุปให้พักแค่คืนเดียวพอ แม้ว่าพี่เปิ้ลจะบอกว่าควรพัก ๒ คืนเป็นอย่างน้อยก็ตามที) ก็ดันหาที่เปิด heater ไม่ได้ กว่าจะตามเขามาจัดการให้ได้ ทุกคนก็ขี้เกียจออกไปกินข้าวแล้ว วันนั้นทุกคนเลยได้กินมาม่าเป็นดินเนอร์โดยพร้อมเพียงกัน

3 comments:

me! said...

อยากงก ๑๕ เหรียญ เลยได้แต่รูป Wombat ก้มหน้า อิอิ

ning_nee said...

พี่โดนผู้ว่าฯ ด่าด้วยอ่ะ เป็นตราบาปเลยนะเนี่ย

Anonymous said...

เสีย 15 เหรียญ อาจไม่เจอ wombat นะ